วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล


ตอนที่ 9 ความจริงของสามปีก่อน 

ถูกต้อง!นี่คือเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำแน่นอน แล้วยังเป็นภาพที่ผู้แข็งแกร็งอย่างผู้อาวุโสขั้นสวรรค์เป็นผู้ลงมือวาดด้วยตัวเอง!

ใบหน้าของหลินเฟิ่งเซียนเต็มไปด้วยความดีใจ รีบเก็บเคล็ดลับและกระบวนท่าเพลงดาบเทียนซินทันที !

ดีมาก!

สามารถซื้อเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำได้ คราวนี้ความเชื่อถือของตระกูลหลินก็คงเพิ่มขึ้นอีกมากเป็นแน่

ผู้ดูแลตลาดเดินไปด้านหน้าของจางลั่วเฉิน แล้วกล่าวว่า “นายท่าน ‘เพลงดาบเทียนซิน’ขายได้ราคาทั้งหมดคือ หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ล้านเหรียญเงิน หักค่าสนับสนุนการขาย หนึ่งหมื่นสองพันเหรียญเงิน จะเหลือเงินอยู่ หนึ่งร้อยยี่สิบสองล้านแปดพันเหรียญเงิน ไม่ทราบว่านายท่านตัดสินใจจะแลกทั้งหมดเป็นหินผลึก หรือแลกเป็นเสวี่ยตัน หรือว่าจะเก็บไว้ในบัญชีเมืองอู่”

เวลาคนปกติค้าขายกัน มักจะใช้เหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทอง หรือหากเป็นจอมยุทธ์ด้วยกันก็อาจจะใช้เสวี่ยตัน หรือ หินผลึกเป็นการแลกเปลี่ยน

จางลั่วเฉินกล่าวว่า “เอาเงินหนึ่งร้อยยี่สิบล้านเหรียญเงินเก็บไว้ในบัญชีเมืองอู่ แล้วเอาเงินสองหมื่นแลกเป็นหินผลึก แล้วเอาที่เหลืออีกแปดพันเหรียญเงินมาให้ข้าเป็นเงินสด”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้ดูแลตลาดได้นำแผ่นที่หล่อขึ้นมามาจากหินผลึกสีทองส่งให้กับจางลั่วเฉินแล้วกล่าวว่า “นายท่าน นี่คือบัตรพิเศษสามดาวสำหรับการเก็บเงินในเมืองอู่ หนึ่งร้อยยี่สิบล้านเหรียญได้อยู่ในบัตรนี้เรียบร้อยแล้ว”

“บัตรพิเศษ”คือบัตรสำหรับคนที่มีฐานะพิเศษ ในประเทศอวินอู่จวินผู้ที่ได้ครอบครองบัตรพิเศษสามดาวนี้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอีก

การที่จะได้ครอบครองบัตรพิเศษสามดาวนั่นหมายความว่าเงินที่ครอบครองอยู่นั้นต้องมีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านเหรียญเงินเท่านั้น !

จากนั้น ผู้ดูแลตลาดก็เอาห่อหินผลึก 20 อัน และอีก 8 พันเหรียญเงินส่งให้กับจางลั่วเฉิน

จางลั่วเฉินไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว หยิบเอาห่อของ แล้วเดินออกไปทางศูนย์กลางตลาดค้าขาย

“แผ่นหลังของคนคนนี้ดูคุ้นตามาก !”

หลินหนิ่งซานจ้องไปที่แผ่นหลังคนในชุดคลุมดำที่เดินห่างไปเรื่อย ๆ ในใจรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย ?

หลินเฟิ่งเซียนกล่าวต่อว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่าคุ้นอยู่เล็กน้อย น่าจะเคยเจอกันในวัง คนคนนี้ไม่ธรรมดา ฐานะที่แท้จริงของเขาคงจะน่าตกใจมาก”

หลินเฟิ่งซานถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงได้พูดเยียงนี้”

สีหน้าของหลินเฟิ่งเซียนเต็มไปด้วยความเคารพแล้วกล่าวว่า  

“รอยหมึกบน‘เพลงดาบเทียนซิน’ยังไม่ทันแห้งดีเลย นั่นหมายความว่าเขาพึ่งจะวาดภาพกระบวนท่าดาบนี้ภายในวันนี้เท่านนั้น !  ผู้ที่วาด‘เพลงดาบเทียนซิน’จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์อย่างแน่นอน ! ”

“นั่นหมายความว่า ถ้าคนคนนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์คนนั้น เบื้องหลังของเขาก็จะต้องมีผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ตาม คนคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่เราจะไปวุ่นวายด้วยได้เป็นอันขาด ! ”

“ผู้แข็งแกร่งระดับสวรรค์…!”หลินหนิ่งซานรู้สึกตกใจ แล้วกล่าวต่อว่า “แม้จะเป็นท่านปู่เองของตระกูลหลินเองก็ยังไม่สามารถไปได้ถึงระดับสวรรค์เลย ”

หลินเฟิ่งซียนพยักหน้า แววตามีประกายนึกย้อนไปในอดีต

การฝึกฝนระดับขั้นทั้งสี่ระดับ ขั้นอเวจี ขั้นลึกลับ ขั้นปฐพี ขั้นสวรรค์

ขั้นสวรรค์นั้นคือการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขั้นที่สูงที่สุด และยังเป็นระดับขั้นในตำนาน ที่แค่เพียงคนเดียวก็สามารถรับมือกับทหารแสนคนได้ เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง !

ถ้าหากสูงกว่าขั้นสวรรค์ แล้วละก็จะเป็นขั้นที่สูงกว่าขอบเขตของจอมยุทธ์ ซึ่งจะเกินกว่าร่างกายของมนุษย์ธรรมดา ทุกกระบวนท่าที่แสดงออกมาจะเหนือกว่าที่จอมยุทธ์จะจินตนาการไปได้ถึง

หลินหนิ่งซานกล่าวต่อว่า “ในวังเองก็คงมีผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์แค่ไม่กี่คน ถ้าหากไปหา ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร ? ”

หลินเฟิ่งเซียนสีหน้าเข้มงวดขึ้นมาทันทีแล้วกล่าว่า “ห้ามไปทำเรื่องโง่ ๆ อย่างนั้นเด็ดขาด ถ้าหากไปทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์ท่านนั้นโมโหขึ้นมา ตระกูลหลินคงจะต้องได้รับผลที่เลวร้ายแน่นอน ! ”

ตาของหลินนิ่งซานเป็นประกายเฉลียวฉลาดขึ้นมา แล้วกล่าวว่า“ท่านพ่อ!ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง ในเมื่อเขาเป็นคนที่มาจากในวัง น่าจะไม่ได้ขาดเงิน แล้วทำไมถึงต้องนำเอาเพลงดาบขั้นวิญญาณออกมาขายอีก ? ”

หลินเฟิ่งเซียนเงียบไปชั่วระยะ แล้วกล่าวว่า“เพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณทั้งแปดของตระกูลฮวาง ล้วนเป็นเพลงยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในการต่อสุ้ แต่ในบรรดาเพลงยุทธ์พวกนั้น ไม่มี‘เพลงดาบเทียนซิน’อยู่ เรื่องนี้ทางที่ดีพวกเราอย่าไปสืบหาต่อจะดีกว่า ผู้แข็งแกร่งขั้นสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหลินจะไปมีเรื่องด้วยได้ !”

“ลูกซาน ลูกมีดาบเป็นผนึกอักษรสวรรค์ เป็นคนที่เหมาะสมสำหรับฝึก‘เพลงดาบเทียนซิน’ที่สุด พอกลับไปแล้ว ให้ลูกเก็บตัวฝึก‘เพลงดาบเทียนซิน’ถ้าลูกสามารถฝึกกระบวนท่าแรกของเพลงดาบได้ภายในสามเดือน การสอบครั้งสุดท้ายนี้ ลูกจะต้องเป็นผู้ที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมที่สุดในทุกคนแน่นอน ! ”

เมื่อออกมาจากตลาดศูนย์กลางการค้า จางลั่วเฉินก็เดินออกไปจากเมืองอู่ แล้วเดินวนเมืองหวางหนึ่งรอบ เขาหาสถานที่มิดชิด แล้วถอดเสื้อคลุมสีดำบนร่างออกรวมถึงรองเท้ากิเลนเลื่อมทองออก แล้วเก็บเข้าไปในหินผลึกมิติ เขาเปลี่ยนมาใส่รองเท้าธรรมดา

การแต่งตัวแบบนี้ มอง ๆ ดูแล้วก็เหมือนกับการแต่งตัวของจอมยุทธ์หนุ่มทั่วไป

“อย่างนี้น่าจะไม่มีใครจำได้แล้วล่ะว่า ข้าเป็นคนลึกลับที่เอาเพลงดาบเทียนซินไปขาย”

จางลั่วเฉินหยิบเอาห่อที่เก็บหินผลึกกับห่อเงินขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในเมืองอู่อีกครั้ง แล้วเริ่มซื้อของที่ตัวเองต้องการ

จางลั่วเฉินใช้เงินไปเงินสี่พันเหรียญเงินกับการซื้อน้ำล้างกระดูกไป 20 ชุด!

จากนั้น เขาก็ใช้ไปอีกหนึ่งพันเหรียญเงินกับการซื้อเสวี่ยตันไปอีก 200 เม็ด จากการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ใช้แค่เสวี่ยตันระดับหนึ่งก็เพียงพอแล้ว เสวี่ยตันจำนวน 200 เม็ดนั้นเพียงพอที่จะให้เขากินได้นานถึงครึ่งปี !

ต่อมา เขาก็ไปซื้อยาที่ช่วยในการฝึกฝนอีกสองชนิด คือ “ยาฝึกฝนร่างกาย”กับ“ยารวมลมปราณ”

ยาทั้งสองชนิดนี้ราคาแพงมาก ถึงจะเป็นพวกหัวกะทิของตระกูลใหญ่ ๆ ตอนที่อยู่ในขั้นอเวจีระดับต้น ก็ไม่สามารถใช้ของล้ำค่าระดับนี้ได้ !

แต่สำหรับจางลั่วเฉินในนี้แล้ว ขอแค่สามารถทำให้ฝึกฝนได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าเขาจะต้องจ่ายเงินเยอะแค่ไหนก็คุ้มค่า

สุดท้าย เขาใช้หินผลึกอีก 5 อันไปซื้อยาฝึกฝนร่างกาย 5 ชุด 

แล้วใช้หินผลึกอีก 10 อัน ไปซื้อยารวมลมปราณ

นอกจากนี้ เขายังใช้เงินไปอีก 500 เหรียญเงินเพื่อซื้อยาต่อกระดูให้กับอวินเอ๋อร์ ถ้าไม่นับเงินที่เก็บไว้ในบัญชีเมืองอู่อีก 120 ล้านเหรียญเงิน ในตัวของเขาในตอนนี้ยังเหลือเงินอีก 2000 เหรียญเงินกับหินผลึกอีก 5 อัน 

จางลั่วเฉินเอายาทั้งหมดที่ซื้อเก็บลงไปในหินผลึกมิติ แล้วเดินกลับวัง

“พี่อวินเอ๋อร์ นี่คือยาเชื่อมกระดูที่ข้าซื้อให้พี่ ต้องช่วยให้แผลที่แขนพี่ดีขึ้นแน่นอน” จางลั่วเฉินหยิบกล่องไม้เนื้อละเอียดสีดำส่งให้กับอวินเอ๋อร์

อวินเอ๋อร์ตกใจอยู่ชั่วระยะ จากนั้นลุกลี้ลุกลนรับกล่องไม้ไป แล้วเปิดก่องออกดู

ข้างในกล่องไม้ มีกลิ่นยาอ่อน ๆ กระจายออกมา

นางรู้สึกตื้นตันใจมาก ขณะเดียวกันก็ตกใจ แล้วกล่าวว่า “องค์ชายเก้า ท่าน…..ท่านเอาเงินจากไหนไปซื้อยาเชื่อมกระดูกกกัน ? ”

ยาเชื่อมกระดูกที่คุณภาพต่ำที่สุดนั้นก็ต้องใช้เงินถึง 200 เหรียญเงิน ถ้าของดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินถึง 500 เหรียญเงิน!

จางลั่วเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “พี่อวินเอ๋อร์ ข้ามีความลับเล็กน้อย ตอนนี้ยังบอกพี่ไม่ได้ หวังว่าพี่จะช่วยข้าเก็บเป็นความลับ”

อวินเอ๋อร์จ้องไปที่จางลั่วเฉิน แล้วพยักหน้า นางกดเสียงต่ำแล้วกล่าวว่า  “องค์ชายข้าสามารถบอกพระสนมหลินได้หรือไม่”

“ตอนนี้ยังไม่ได้”จางลั่วเฉินกล่าว

“เข้าใจแล้ว ข้ารับปากท่าน” อวินเอ๋อร์จับกล่องไม้สีดำในมือไว้แน่น ในใจปลาบปลื้ม ในเมื่อองค์เก้าสามารถจ่ายเงินมากกว่าร้อยเหรียญเงินเพื่อซื้อยาเชื่อมกระดูก แสดงว่าต้องมีโชคหรือโอกาสอะไรดี ๆ แน่

ไม่แน่ว่าต่อไปองค์ชายเก้าอาจจะสามารถกลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งก็เป็นได้ !

จางลั่วเฉินยังกล่าวต่อว่า “ยังมีอีกเรื่อง ที่ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด หวังว่าพี่อวินเอ๋อร์จะสามารถบอกความจริงกับข้าได้ ในเมื่อท่านแม่เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของผู้นำตระกูลหลิน แล้วทำไมท่านแม่กับตระกูลหลินถึงได้ตัดขาดกัน สามปีก่อน จริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”

อวินเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เพราะว่าร่างกายขององค์ชายเก้าอ่อนแอมาตลอด ไม่สามารถถูกกระทบจิตใจได้ ดังนั้นเขาถึงได้ปิดบังเรื่องนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้องค์ชายเกิดเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แล้ว ข้าก็จะบอกท่าน!”

“ท่านน่าจะจำอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลิน หลินเฉิงยวู่ได้ เขาคือพี่ชายของท่าน เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน และยังเป็นลูกชายคนโตของผู้นำตระกูลหลิน อายุเพียงแค่ 17 ปี ก็สามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นอเวจีระดับสูงสุดแล้ว”

“แต่ว่า เมื่อสามปีก่อน หลินเฉิงยวู่ไปมีเรื่องกับกับอัจฉริยะอีกคนหนึ่งเข้า แล้วถูกคน ๆ นั้นตัดขาทั้งสองข้าง แล้วจับขังเข้าคุก”

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ ? ” จางลั่วเฉินถามขึ้น “ตระกูลหลินนับได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ในประเทศอวินอู่จวิน ใครกันที่กล้าถึงขนาดจับอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลินขังคุก หรือว่า คนที่หลินเฉิงยวู่มีเรื่องด้วย มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ? ” 

อวินเอ๋อร์พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกแล้ว คนที่หลินเฉิงยวู่มีเรื่องด้วยก็คือคนที่น่าจับตามองที่สุดของประเทศอวินอู่จวิน องค์ชายเจ็ด อัจฉริยะคนอื่น ๆ เมื่อยู่ต่อหน้าองค์ชายเจ็ด ก็จะหมองลงไปทันที ! ”

“อย่างนี้นี่เอง !”จางลั่วเฉินพยักหน้า เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา

อวินเอ๋อร์ยังพูดต่อว่า “พอหลินเฉิงยวู่ถูกขังคุก ผู้นำตระกูลหลินก็รีบมาหาพระสนมหลินทันที หวังว่าจะให้พนะสนมหลินออกหน้าช่วยของร้องฮองเต้ ให้ยกโทษให้กับหลินเฉิงยวู่ซักครั้ง ไม่ว่าจะแลกกับอะไรตระกูลหลินก็ยอมทั้งนั้น ! ”

“พระสนมหลินเองก็รับไปขอพบฮองเต้ แต่ว่าถูกฮองเฮาขวางเอาไว้ แล้วเป็นเพราะว่าเรื่องนี้เอง พระสนมหลินกับฮองเฮาเลยมีเรื่องกัน พอฮองเฮาโมโห ก็มีคำสั่งให้โบยลงโทษพระสนมหลิน 30 ครั้ง พอโบยเสร็จ ทั่วร่างของพระสนมเต็มไปด้วยเลือด พระสลินแทบจะไม่หายใจแล้ว”

“ปัง!”

จางลั่วเฉินตบไปที่เสา กัดฟันแน่น แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ ฮองเต้อวินอู่จวินไม่ถามอะไรเลยหรือ ? ”

อวินเอ๋อร์กล่าวว่า “ท่านต้องเข้าใจว่า องค์ชายเจ็ดเป็นองค์ชายที่มีพรสวรรค์ที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้ง 9 องค์ และเป็นองค์ชายที่ฮองเต้ทรงรักมากที่สุดและหวังเอาไว้สูงสุด และเมื่อฮองเต้อวินอู่จวินตรวจแล้วพบว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของหลินเฉิงยวู่จริง ๆ องค์ชายเจ็ดนั้นเกือบจะถูกหลิงเฉิงยวู่ทำร้ายจนตาย ! ”

“เพราะเรื่องนี้ ฮองเต้จึงโมโหมาก ทรงรู้สึกว่า ทั้ง ๆ ที่หลินเฉิงยวู่ทำผิด พระสนมหลินยังอยากจะขอให้ยกโทษให้กับหลินเฉิงยวู่ และนั้นเท่ากับว่าไม่ยอมรับความจริง ! ”

“เดิมทีฮองเต้อวินอู่จวินก็ทรงรักพระสนมหลินมาก แต่พอมีเกิดเรื่องนี้เข้า เขาก็กลายเป็นเย็นชากับพระสนมหลินทันที”

อวินเอ๋อร์ยังพูดต่ออีกว่า “พระสนมหลินรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคนตระกูลหลินเองก็ไม่ยอมฟังเหตุผล และก็พวกเขาไม่กล้าเอาเรื่องกับฮองเฮาหรือองค์ชายเจ็ด เลยเอาความผิดทั้งหมดมาลงกับพระสนมแทน พวกเขารู้สึกว่า เป็นเพราะพระสนมไม่ได้ไปขอร้องฮองเต้ จึงทำให้ตระกูลหลินสูญเสียอัจฉริยะไปหนึ่งคน นับจากเรื่องนั้น ความสัมพันธ์ของคนตระกูลหลินกับพระสนมก็ขาดจากกัน ตระกูลหลินไม่นับว่าพระสนมหลินเป็นหนึ่งในคนตระกูลหลินอีก”

จางลั่วเฉินหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง รู้สึกหนักใจและเศร้าใจแทนพระสนมหลินที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขากำหมัดในมือแน่น แล้วตบไปที่เสา พร้อมกล่าวสียงหนักว่า  “กำลัง!ในโลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้แข็งแกร่ง ยังไงก็ไม่มีที่ยืน ถ้าไม่มีสามารถก็จะไม่ได้ความเป็นธรรมที่เสมอภาพและยุติธรรม!” 

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล

ตอนที่ 8 เมืองอู่ 

เข้าไปในเมืองอู่ จางลั่วเฉินเดินตรงเข้าไปที่ตลาดศูนย์กลางค้าขาย 

เพลงยุทธขั้นวิญญาณระดับต่ำ ไม่ใช่สิ่งที่พ่อค้าธรรมดาพวกนั้นจะซื้อไหว มีแต่ต้องเอาไปขายที่ตลาดศูนย์กลางค้าขาย แล้วขายให้กับพวกตระกูลใหญ่ ๆ ถึงจะทำให้เพลงยุทธ์นั้นมีค่ามากที่สุด

จางลั่วเฉินที่พึ่งจะเดินเข้ามาถึงตลาดศูนย์กลางค้าขาย ก็มีสาวใช้ที่มีหน้าตาสวยงามแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยเดินเข้ามาต้อนรับ นางเห็นจางลั่วเฉินแต่งตัวลึกลับ แต่กลับไม่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจแม้แต่น้อย นางกล่าวอย่างมีมารยาทว่า“นายท่าน มีอะไรให้ข้าช่วยได้บ้าง”

“ข้าต้องการพบผู้ที่ดูแลที่ตลาดศูนย์กลางค้าขายนี้” จางลั่วเฉินแอบเปลี่ยนเสียงของตัวเองเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก ฟังดูแล้วเหมือนกับวัยกลางคน อายุราวๆ 30 หรือ 40 ปี

เขาเป็นใครกัน คำพูดแรกที่กล่าวออกมาถึงได้กล่าวว่าอยากพบผู้ที่ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขาย คนๆนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่

“ข้าจะไปแจ้งกับผู้ดูแลลาดศูนย์กลางค้าขายให้ แต่ว่าปกติผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายจะยุ่งมาก ต้องคอยต้อนรับแขกสูงศักดิ์ทั้งหลาย ไม่แน่ว่าจะมีเวลาออกมาพบท่านได้ ท่านรอสักครู่!”

พอพูดจบ สาวใช้นางนั้นก็รีบเดินเดินไปยังประตูใหญ่ เพื่อไปแจ้งกับผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขาย

ผ่านไปไม่นาน สาวใช้นางนั้นก็เดินนำชายชราผู้ที่สวมชุดคลุมหรูหรารูปร่างท้วมเข้ามา นางชี้มาทางจางลั่วเฉินแล้วกล่าวว่า “ผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายเจ้าคะ คือคนคนนั้น”

ผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายปรายตามองมาทางจางลั่วเฉินในชุดคลุมสีดำจากไกลๆ ดวงตาไปหยุดจ้องที่เท้าของจางลั่วเฉิน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตามีประกายคมกล้าชั่วพริบตาก็สังเกตเห็น…. !

รองเท้าที่จางลั่วเฉินสวม มีชื่อว่า “รองเท้ากิเลนเลื่อมทอง” ซึ่งเป็นรองเท้าที่มีเฉพาะคนในวังเท่านั้นถึงจะสามารถใส่ได้

จางลั่วเฉินจงใจโผล่เท้าออกมา เพราะยังไงสิ่งที่เขาต้องการขายก็คือเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำ ยากที่จะไม่ถูกคนจ้องมอง จากระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ยังไงก็ไม่สามารถคุ้มครองเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำไว้ได้

แต่ถ้าหากให้คนอื่นรู้ว่า เขาเป็นคนใหญ่คนโตจากในวัง คนที่คอยจ้องเขาอยู่ ก็จะเหลือเพียงแค่ไม่กี่คน

ตอนนี้ความสามารถของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมีความสามารถมาก ถึงจะทำได้แค่ขู่คนอื่น แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น

“เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดา!”

ผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายพอเห็นรองเท้าของจางลั่วเฉิน ในใจก็คิดคำ ๆ นี้ขึ้นมาทันที !

ท่าทางของผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายที่มีต่อจางลั่วเฉินเปลี่ยนเป็นนอบน้อมขึ้นมาทันที เขาคิดว่าจางลั่วเฉินเป็นคนใหญ่คนโตจากในวัง เขาเดินไปที่จางลั่วเฉินกดเสียงต่ำแล้วกล่าวว่า “นายท่าน เชิญทางนี้!”

“อืม!”

เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความยำเกรง จางลั่วเฉินไขว้มือไปด้านหลัง แสดงออกถึงความใจกว้าง แล้วพยักหน้าเบาๆ

จอมยุทธ์ทั้งหลายที่อยู่ในห้องโถง เห็นเขาแสดงท่าทีต่อผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขาย ในใจล้วนเดาได้ว่า ผู้นี้ที่มาตลาดศูนย์กลางค้าขายคงเป็นบุคคลที่มีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่

ขึ้นไปถึงตลาดศูนย์กลางค้าขายชั้นที่สาม จางลั่วเฉินนั่งอย่างสงบนิ่งด้านบน แล้วรับถ้วยชาที่สาวใช้ส่งให้ จางลั่วเฉินใช้คำพูดแบบผู้ที่มียศสูงพลางกล่าวว่า “ข้ามีของล้ำค่าอย่างหนึ่ง อยากจะขายให้กับตลาดศูนย์กลางการค้า เจ้าไปเรียกผู้ตรวจสอบระดับสูงสุดของเจ้ามาตรวจสอบให้ข้าสักหน่อย”

ผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าขายเห็นท่าทีของจางลั่วเฉินยิ่งแน่ใจว่าต้องเป็นคนที่มาจากในวังอย่างแน่นอน เขาให้คนไปเชิญผู้ตรวจสอบมาทันที

จากนั้นไม่นานมีชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินเข้ามา

ชายชราดู ๆ ไปแล้วอายุประมาณ 70 ปี แต่ดวงตากลับเป็นประกายแวววาว เขามองมาที่จางลั่วเฉิน กลับพบว่าตัวเองมองไม่เห็นความสามารถของอีกฝ่าย ภายในใจอดที่จะตกใจไม่ได้ !

ชายชราแสดงความเคารพต่อจางลั่วเฉิน “ผู้ชราคนนี้คือผู้ตรวจสอบชั้นหนึ่งของตลาดศูนย์กลางค้าขาย ไม่ทราบว่าของที่นายท่านอยากจะขายอยู่ที่ไหน ? ”

ถ้ามองไม่เห็นความสามารถของอีกฝ่าย มีแค่ 3 ประเภท ประเภทแรกคือ ความสามารถของอีกฝ่ายสูงกว่าตนเอง

ประเภทที่สอง คัมภีร์ฝึกฝนที่อีกฝ่ายฝึก มีระดับสูงกว่าการฝึกฝนของตัวเอง

อย่างเช่น จอมยุทธ์คนที่ฝึกฝนคัมภีร์ระดับปุถุชน ปกติแล้วจะไม่สามารมองความสามารถของจอมยุทธ์คนที่ฝึกฝนคัมภีร์ขั้นวิญญาณได้ จะทำได้แค่ดูกลิ่นอายพลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมา แล้วคาดเดาเอาเท่านั้น

และแน่นอนว่า ต้องเป็นระดับของคัมภีร์ที่ใช้ฝึกฝนห่างกันไม่มากเท่านั้น ผู้ที่ฝึกฝนได้ในระดับสูงยังไงก็ยังสามารถมองแนวทางความสามารถของผู้ที่ฝึกฝนในระดับต่ำได้

ประเภทที่สาม บนร่างกายของอีกฝ่ายมีของวิเศษปิดบังความสามารถ

ประเภทแรกกับประเภทที่สองพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นชายชราจึงคิดว่าเป็นเพราะประเภทแรก คิดว่าเป็นเพราะความสามารถของจางลั่วเฉินนั้นสูงกว่าตนเอง ถึงได้คารวะแสดงความเคารพต่อจางลั่วเฉิน

คัมภีร์ฝึกฝนของจางลั่วเฉินนั้นคือเก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิง นั่นเป็นคัมภีร์ฝึกฝนระดับสูงขนาดไหน ? ต้องให้เขาจะจงใจแสดงจุดชีพจรของตัวเองออกมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทั้งประเทศอวินอู่จวินคงจะมีไม่มีคนที่มองความสามารถของเขาออกได้ !

และชิวิตที่แล้วของจางลั่วเฉินเดิมทีเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขั้นเทพระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดใหม่ในร่างของคนธรรมดา แต่ว่าความเข้าใจในเรื่องวรยุทธ์กับเรื่องสติสมาธิที่มาพร้อมกับวิญญาณนั้น ไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้แข็งแกร่งขั้นเทพระดับสูงสุดเลยแม้แต่น้อย !

และการที่จะมองความสามารถของเขาออกนั้น มีเพียงวิธีเดียวคือระดับวรยุทธ์ของอีกฝ่ายจะสูงกว่าขั้นเทพระดับสูงสุด !

จางลั่วเฉินยื่นมือเข้าไปในเสื้อ แล้วลูบไปบนหินผลึกมิติ ฝ่ามือล้วงเข้าไปในหินผลึกมิติ แล้วหยิบเอาเพลงดาบเทียนซินที่คัดลอกเสร็จแล้วออกมา ส่งให้กับชายชราผมขาว

“ที่ข้าต้องการขายก็คือ ม้วนเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำอันนี้”จางลั่วเฉินกล่าวนิ่งๆ

ชายชราที่เพิ่งจะรับเอาม้วนกระดาษ “เพลงดาบเทียนซิน” มา นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของจางลั่วเฉิน เขารู้สึกตกใจไม่น้อย ที่แท้สิ่งที่อยากขายคือเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำ!

ชายชรารีบเปิดม้วนกระดาษที่ผูกไว้ด้วยกันออกมา แล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียด

ผู้ดูแลตลาดศูนย์กลางค้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นก็รีบเดินเข้าไปตรวจสอบดูเคล็ดลับ

“เพลงดาบเทียนซิน”
 ชายชราและผู้ดูแลตลาดพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูง ไม่นานก็รู้ผล แล้วพยักหน้า

“เป็นเคล็ดลับและกระบวนท่าขั้นวิญญาณระดับต่ำจริง ๆ ด้วยไม่ทราบว่านายท่านยังมีกระบวนท่าอีกมากน้อยแค่ไหน” ผู้ดูแลตลาดกล่าวถามขึ้น

เคล็ดลับและกระบวนท่าเมื่อมารวมอยู่ด้วยกัน ถึงจะสามารถแสดงอานุภาพของเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำออกมาได้

ถึงแม้ว่าชายชรากับผู้ดูแลตลาดจำเคล็ดลับได้ แต่ถ้าหากไม่ได้นำมาใช้ร่วมกันกับกระบวนท่า เคล็ดลับที่จำไว้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร

จางลั่วเฉินกล่าวขึ้น“กระบวนท่าทั้งหมดมี 12 กระบวนท่า ส่วนเพลงดาบของเดิมนั้นได้หายไปแล้ว “เพลงดาบเทียนซิน”ที่ข้าครอบครองอยู่นั้นเป็นของที่ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพระดับสุดยอดท่านหนึ่งลงมือวาดภาพกระบวนท่าเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกับของเดิมแม้แต่น้อย”

ชายชราครุ่นคิดอยู่ชั่วระยะ แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ตั้งราคาขาย‘เพลงดาบเทียนซิน’ไว้ที่ 2 แสนเหรียญเงิน แต่ว่ามีข้อแม้ว่า เมื่อค้าขายกันสำเร็จ แล้วผู้ที่ซื้อเคล็ดลับและกระบวนท่า‘เพลงดาบเทียนซิน’ไปตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ใช่เพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำล่ะก็ จะไม่ถือว่าค้าขายสำเร็จ  ”

จางลั่วเฉินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ ทุกอย่างให้เป็นไปตามกฏของตลาด!”

การขายเพลงดาบเทียนซินคือค่ำคืนวันนี้ ถือได้ว่าเป็นของหลักในการขายในตลาดสินค้าชั้นกลางคืน

ก่อนที่จะเริ่มการขาย ตลาดศูนย์การค้าขายก็รีบแพร่ข่าวออกไปให้กับตระกูลใหญ่ ๆ ทั้งหลายในเมืองหวาง !

บุคคลสำคัญในตระกูลต่าง ๆ ก็รีบนำเงินมหาศาลไปที่เมืองอู่ ด้วยความอยากที่จะซื้อเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำนั้นกลับไป

จางลั่วเฉินไม่ได้สนใจวิธีการขายแต่อย่างได้ เขาสนใจเพียงแค่ผลในการขายเท่านั้น

ผ่านไปสองชั่วยาม การขายก็เสร็จสิ้น ผลของการขายเองก็ออกมาแล้ว

เพราะการแย่งชิงของบรรดาตระกูลใหญ่ ๆ ราคาของเพลงดาบเทียนซินนั้นจึงสูงขึ้นไปถึง 124 ล้านเหรียญเงิน สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของผู้นำตระกูลหลิน  

“ที่แท้คือตระกูลหลิน!”ตอนที่จางลัวเฉินได้ยินผลลัพธ์ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน ภายใต้การนำทางของผู้ดูแลตลาด ผู้นำตระกูลหลิน หลินเฟิ่งเซียน และสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลหลิน หลินเต๋อ และยังมีสาวงาม 1 ใน 4 ของประเทศอวินอู่จวิน หลินหนิ่งซาน ก็ได้ก้าวเข้ามาจากด้านนอก

“ท่านผู้นำหลิน นี่คือเจ้าของเพลงดาบเทียนซิน” ผู้ดูแลตลาดกล่าขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอบยิ้ม แล้วชี้ไปที่จางลั่วเฉินที่นั่งอยู่ดานบน 

สายตาของหลินเฟิ่งเซียนหยุดมองไปที่ “รองเท้ากิเลนเลื่อมทอง” เขามองเท้าของจางลั่วเฉินชั้วระยะหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบา ๆ แล้วโค้งตัวเคารพพลางกล่าวว่า “ข้าน้อยผู้นำตระกูลหลิน หลินเฟิ่งเซียน ไม่ทราบว่านายท่านมีนามว่าอะไร ”

ก่อนที่ำวกเขาจะเข้า หลินเฟิ่งเซียนก็ได้ฟังคำพูดที่ผู้ดูแลตลาดพูดถึงคนลึกลับผู้นี้มาก่อนแล้ว เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีที่มาไม่ธรรมดา อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตในวัง !

ดังนั้นเมื่อ หลินเฟิ่งเซียนเดินเข้ามา เขาก็รีบลดท่าทีผู้นำตระกูลหลินลงทันที

เมื่อเห็นหลินเฟิ่งเซียนกับหลินหนิ่งซาน จางลั่วเฉินก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายจำได้

จางลั่วเฉินไอสองครั้ง กดน้ำเสียงลงต่ำ “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อของข้า นี่คือเคล็ดลับและกระบวนท่าของ‘เพลงดาบเทียนซิน’ผู้นำหลินท่านลองเอาไปตรวจสอบดู!”

ระหว่างพูด จางลั่วเฉินก็นำเคล็ดลับและกระบวนท่าดาบออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะ

หลินเฟิ่งเซียนไม่ได้หยิบเคล็ดลับและกระบวนท่าของเพลงดาบเทียนซินขึ้นมาตรวจ เขาเชื่อว่า ก่อนที่ผู้ดูแลตลาดจะขายสินค้า คงตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว

เขาเปิดกระบวนท่าเพลงดาบเทียนซินออกมาดู เห็นบนกระดาษสลักภาพกระบวนท่าอยู่ 12 กระบวนท่า

ถ้าหากเป็นคนธรรมดาเห็นกระบวนท่าทั้ง 12 กระบวนท่านี้เข้า จะมองไม่ออกเลยว่ามันพิเศษยังไง แต่ตอนที่สายตาของหลินเฟิ่งเซียนมองไปที่แผ่นกระดาษนั้น ภาพกระบวนท่าทั้ง 12 กระบวนท่านั้นก็ขยับราวกับมีชีวิตขึ้นมา ! แล้วยืนรำเพลงดาบบนกระดาษ !

ทุก ๆ กระบวนท่าล้วนประณีตเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งระดับขั้นของวิธีการต่อสู้ที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเรียนได้แค่หนึ่งในกระบวนท่าของทั้งหมด ก็ถือได้กำไรมากแล้ว

“เพลงดาบชุดนี้ถ้าเทียบกับเพลงยุทธ์อื่นที่อยู่ในระดับขั้นวิญญาณระดับต่ำด้วยกัน ก็คงถูกจัดอยู่ในระดับสูงมาก นี่นับว่าคุ้มค่ามาก!”ในใจของหลินเฟิ่งเซียนตื่นเต้นอย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล

ตอนที่ 7 เพลงดาบเทียนซิน 

จางลั่วเฉินกลับไม่ได้มีอารมณ์อะไรแม้แต่น้อย เขากล่าวอย่างเรียบเรียบว่า“อย่างนั้นก็ยินดีกับน้องด้วย วันหลังก็เราก็นับได้ว่าเป็นญาติสนิทยิ่งกว่าเดิมแล้ว”

พอพูดจบ จางลั่วเฉินก็หันหลังเดินจากไป

พบหน้ากันครั้งแรก จางลั่วเฉินไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับลูกพี่ลูกน้องสาวสวยคนนี้เท่าไหร่นัก ในเมื่อความคิดไม่ตรงกันแล้วก็สู้เงียบไปเลยซะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงได้กลับออกไม่อย่างหมดอารมณ์

เห็นจางลั่วเฉินไม่มีปฎิกิริยาสักนิด ลูกหลานตระกูลหลินทั้งหลายต่างพากันผิดหวัง

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

เห็นท่าทางไม่สนใจอะไรของจางลั่วเฉินแล้ว ในใจของหลินหนิ่งซานก็แอบผิดหวัง จ้องไปทางที่แผ่นหลังของจางลั่วเฉินที่เดินจากไป กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พี่ไม่อยากรู้สาเหตุอย่างนั้นหรอ”

การที่หลินหนิ่งซานแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด จางลั่วเฉยไม่ได้ให้ความสนใจซักนิด แต่เมื่อเห็นท่าทางนางที่อยากจะบอกเขาแล้ว เขาจึงได้จำใจหยุดฝีเท้าลง หยักหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนที่พวกเจ้าแต่งงานกัน ข้าจะไปแสดงความยินดีอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวจะไปหาท่านแม่ก่อน”

พอพูดจบประโยค จางลั่วเฉินก็เห็นสนมหลินเดินออกมาจากจวนตระกูลหลิน

ตาทั้งสองข้างของสนมหลินแดงกร่ำ เห็นได้อย่างชัดว่านางพึ่งร้องไห้มา ถึงแม้จะเช็ดน้ำตาหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถปิดบังจางลั่วเฉินได้

จางลั่วเฉินรีบเดินเข้าไปรับ แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกท่าน”

สนมหลินส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร พวกเรากลับกันเถอะ!”

เห็นท่าทางของสนมหลิน จะไม่มีอะไรได้ยังไง

การมาเจอหลินหนิ่งซานครั้งนี้ จางลั่วเฉินยิ่งไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับตระกูลหลินเลย !

“ลาก่อน!”

หลินเฟิ่งเซียนเอามือไข้วหลัง เดินออกมาจากในจวน แล้วปรายตามองไปที่จางลั่วเฉินนิ่งๆ แล้วหยิบม้วนหนังสัตว์เก่าๆออกมาจากแขนเสื้อ 1 ม้วน พลางพูดว่า “นี่คือคัมภีร์ฝึกฝน ไท่อาเจี๋ย ขั้นปุถุชนระดับต่ำ 1 ชุด สามารถทะลวงจุดชีพจรได้ถึง 7 สาย เอาไปฝึกฝนซะ!ถึงจะใช่คัมภีร์ฝึกฝนชั้นสูงอะไร แต่อย่างน้อยก็สามารถปลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ สำหรับเจ้าแล้ว แค่นี้คงเพียงพอแล้ว”

จากนั้น หลินเฟิ่งเซียนก็สั่งให้คนไปเอาน้ำล้างกระดูกออกมา 2  ชุด แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ยังไงในตัวเจ้าก็มีเลือดของตระกูลหลิน น้ำล้างกระดูกสองชุดนี้เจ้าก็เอาไปใช้ด้วยได้เลย!”

สนมหลินจ้องหลิงเฟิ่งเซียนด้วยสายตาลึกซึ้ง พร้อมแสดงแววตาซาบซึ้งออกมา รีบดึงแขนจางลั่วเฉินแล้วกล่าวว่า “ลูกเฉิน ยังไม่รีบของคุณลุงเจ้าอีก”

จางลั่วเฉินมองไปที่หลินเฟิ่งเซียนที่ทำท่าทีเหมือนให้ทาน ในใจไม่พอใจอย่างมาก มิน่าท่านแม่ถึงได้ตาแดงอย่างนี้ เมื่อกี้ท่านแม่คงจะร้องขอคัมภีร์ฝึกฝนให้ตน แล้วได้รับความอัปยศอดสูอย่างมาก

“ไม่ต้องให้ตระกูลหลินมาให้ทานเรา ท่านแม่พวกเราไปกันเถอะ!”

จางลั่วเฉินไม่แม้แต่จะมองไปที่คัมภีร์ฝึกฝนกับน้ำล้างกระดูก ดึงมือสนมหลินแล้วออกไปจากจวนตระกูลหลินทันที

“ให้แล้วยังไม่เอา หรือคิดว่าตัวเองเป็นชายจริง ๆ ”จอมยุทธ์ลูกหลานตระกูลหลินพากันพ่นลม แล้วยิ้มเย็นชา

หลินหนิ่งซานมองไปที่ชายหนุ่มที่เดินออกไปจากจวนตระกูลหลินอย่างเด็ดเดี่ยว ในใจรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็กเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว !

“การเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ เขาก็เลยเข้มแข็งขึ้นมาจากแต่ก่อน แต่ว่า เขากลับไม่รู้ว่าคนที่อายุ 16 ปีแล้วถ้าพึ่งจะเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ จริงๆแล้วได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกฝนไปแล้ว จะคิดมากไปทำไม ยังไงต่อจากนี้พวกเราก็ถูกลิขิตให้อยู่คนละชั้นกันอยู่แล้ว ! ”

หลินหนิ่งซานถอนหายใจ เดินกลับเข้าไปในสนามฝึก แล้วเริ่มฝึกต่อ

ออกมาจากจวนตระกูลหลิน สนมหลินจึงกล่าวว่า “ลูกเฉิน อย่าวู่วาม ขอแค่ลูกสามารถเป็นจอมยุทธได้ ใช้วิชายุทธ์ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง ถึงแม้แม่จะต้องลำบากมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร” 

จางลั่วเฉินยืนอย่างมั่นคง หันกลับไปจ้องป้ายที่เขียนคำว่า “จวนหลิน”แล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ท่านแม่ วางใจเถอะ!ถึงจะไม่มีตระกูลหลินคอยให้ทาน ยังไงข้าก็ยังสามารถเป็นจอมยุทธ์ได้อยู่ดี แล้วข้ายังจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งในเหล่าจอมยุทธ์”

สนมหลินถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แล้วก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางกล่าวขึ้นมาว่า “ลูกเฉิน เรื่องที่หนิ่งซานกับองค์ชายเจ็ดจะแต่งงานกัน ลูกรู้แล้วใช่มั๊ย ลูกก็อย่าเสียใจนักเลย!”

จางลั่วเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ!ในโลกนี้ผู้หญิงดีๆมีมากมาย คนที่ดีกว่าหลินหนิ่งซานก็ยังมี”

“ลูกคิดได้อย่างนี้ แม่ก็วางใจมากแล้ว”สนมหลินยิ้มแล้วกล่าวออกมาอย่าบปลาบปลื้มใจ

กลับมาถึงวังอวินอู่หวาง จางลั่วเฉินกินเสวี่ยตันเม็ดสุดท้าย เข้าไปมิติในหินผลึกมิติ แล้วเริ่มฝึกฝ่ามือมังกรคชสารต่อ

ฝึกจนกระทั่งหมดแรง เขาถึงได้นั่งลงแล้วพักสักครู่หนึ่ง

“ท่านแม่ได้รับความอัปยศในตระกูลหลิน ยังไงข้าจะต้องตอบแทนตระกูลหลินกลับไปอีกเท่าหนึ่งแน่ สามปีก่อน จริง ๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูแล้วคงต้องไปหาพี่อวินถามดูสักหน่อยแล้ว ยังไงก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องพยายามฝึกฝนให้ไปถึงขั้นอเวจีระดับกลางให้ได้ ”

อยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ยังไงก็จำเป็นต้องใช้น้ำล้างกระดูก

น้ำล้างกระดูก 1 ชุด ต้องใช้เงินอย่างน้อย 200 เหรียญเงินถึงจะซื้อได้ 200 เหรียญเงิน สำหรับจางลั่วเฉินนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย

นอกจากนี้ เขาที่ฝึกฝนคือเก้าวีถีจักรพรรดิ์หมิง ถ้าอยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ใช้น้ำล้างกระดูกชุดเดียวคงไม่พอ ...

“รู้แล้ว!”

จางลั่วเฉินตบหน้าผาก แล้วด่าตัวเองที่โง่เกินไป ทั้งๆที่ตัวเองมีขุมสมบัติขุมใหญ่แท้ ๆ ยังจะมาเสียแรงคิดเรื่องเก็บเงินอีก

จางลั่วเฉินชีวิตที่แล้วเขาเป็นถึงโอรสของจักรพรรดิ์หมิง อ่านคัมภีร์ฝึกฝนและเพลงยุทธ์ชั้นสูงมาก็มาก แล้วจำไว้ในสมองทั้งหมด แค่เขียนคัมภีร์ฝึกฝนหรือเพลงยุทธ์ออกมาซักเล่มก็ได้ราคาไม่รู้เท่าไหร่

ในโลกคุนหลุน เก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิง กับ ฝ่ามือมังกรคชสาร ล้วนเป็นของล้ำค่าระดับเทพ ยังไงก็เอาออกมาขายไม่ได้

ในความทรงจำของเขายังมีคัมภีร์ฝึกฝนและเพลงยุทธ์ระดับต่ำอยู่บ้าง ถ้าเขียนออกมาซักเล่ม คงสร้างความตื่นเต้นให้กับประเทศอวินอู่จวินไม่น้อย !

จางลั่วเฉินรีบหยิบพู่กันและหมึกออกมา เขาแล้วเขียนเคล็ดลับและกระบวนท่าของ “เพลงดาบเทียนซิน”ขั้นวิญญาณลงบนกระดาษ ! เพลงดาบเทียนซิน เป็นเพลงยุทธ์ที่ระดับต่ำสุดที่มีอยู่ในความทรงจำของจางลั่วเฉินแล้ว

นั่นก็คือขั้นวิญญาณระดับต่ำ

“เพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำ ในประเทศอวินอู่จวินน่าจะนับได้ว่าเป็นเพลงยุทธ์ระดับสูงแล้ว แม่แต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลินเอง เพลงยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็น่าจะเป็นเพลงยุทธ์ที่อยู่ในขั้นวิญญาณระดับต่ำ แล้วก็คงมีมากที่สุดแค่ 1 หรือ 2 ชุดเท่านั้น แค่มีเอาไว้เป็นของตระกูลไม่ได้เอาไว้ศึกษา”

ในประเทศอวินอู่จวินนั้น มีจอมยุทธ์มากมายไม่ได้มีโอกาสฝึกฝนเพลงยุทธ์ ถึงจะเป็นแค่เพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้วก็นับว่าเป็นของล้ำค่าอย่างที่สุดแล้ว

ราคาเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำนั้น ราคาต่ำที่สุด อย่างน้อยก็ต้องขายได้ 300 เหรียญเงิน ซึ่งในบรรดาเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำเหล่านี้ ถ้าเป็นเพลงยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะขายได้ราคามากกว่า 1000 เหรียญเงิน เพื่อแย่งชิงเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำซักเล่ม บรรดาจอมยุทธ์นั้นล้วนสู้กันอย่างไม่คิดชีวิต

สำหรับเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำ ถ้าหากเอาออกไปขาย จะต้องทำให้บรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็คงอดใจไม่ไหวเป็นแน่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ต้องซื้อเพลงยุทธ์กลับไปให้ได้ !

ถ้าตระกูลไหนมีเพลงยุทธ์ระดับวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกเล่ม ความสำคัญของตระกูลก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกระดับ

พอเขียนเคล็ดลับเพลงดาบเทียนซินเสร็จ จางลั่วเฉินยังวาดทุกกระบวนท่าของเพลงดาบเล็ก ๆ เอาไว้อีกด้วย

จางลั่วเฉินรวบรวมเอาลมปราณในร่างกายทีมีไม่มาก ไปรวมไว้ที่ปลายปากกา แล้วคิดถึงกระบวนท่าดาบกับลมปราณ และผนึกกันเป็นภาพวาด วิธีออกกระบวนท่าดาบ

ทั้ง ๆ ที่ใช้ลมปราณในร่างกายจนหมดแล้ว แต่กลับวาดเสร็จแค่ภาพเดียวเท่านั้น 

จางลั่วเฉินรีบนั่งขัดสมาธิ แล้วโคจรเก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิง ฝึกฝนลมปราณให้เต็มบ่อลมปราณ แล้วเริ่มวาดภาพที่สองต่อ

ใช้เวลาไปทั้งหมดครึ่งวันเต็ม ๆ ถึงจะสามารถวาดภาพกระบวนท่าดาบของ“เพลงดาบเทียนซิน”ออกมาได้จนครบทั้ง 12 กระบวนท่า

ถึงแม้เขาจะไม่มีกำลังภายในแล้ว แต่สายตาเขายังดีอยู่ ยังสามารถเข้าใจวิถีการฝึกยุทธ์ได้ดี ทุกกระบวนท่าที่วาดออกมานั้นวาดอย่างประณีต ไม่ได้แตกต่างไปจากภาพวาดกระบวนท่า“เพลงดาบเทียนซิน”ของฉบับเดิมเลยแม้แต่น้อย

“จากความเข้าใจในเพลงยุทธ์ของข้าในตอนนี้ วาดภาพเพลงยุทธขั้นวิญญาณระดับต่ำ ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากให้ข้าวาดเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับกลาง คงจะวาดภาพได้แค่ 1 ใน 3 ของกระบวนท่าเท่านั้น”

เพลงยุทธ์ที่มีคุณค่า ไม่ใช่จะสามารถลอกออกมาได้ง่าย ๆ

คนธรรมดา ถึงจะท่องเคล็ดลับและกระบวนท่าของ“เพลงดาบเทียนซิน” ได้แล้วเขียนลงบนกระดาษ ถึงแม้ว่าจะมีทั้งวิธีฝึกและภาพกระบวนท่า แต่คนที่ฝึกได้สำเร็จกลับไม่สามารถแสดงอานุภาพของขั้นวิญญาณระดับต่ำออกมาได้

ชีวิตที่แล้วจางลั่วเฉินคือผู้ที่แข่งแกร่งถึงขั้นเทพระดับสูงสุด แต่ก็สามารถวาดได้แต่เพียงจิตวิญญาณของเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น ถ้าเป็นเพลงยุทธ์ที่ระดับสูงกว่านี้ เขาเองก็ไม่สามารถวาดจิตวิญญาณออกมาได้ทั้งหมด

“เพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำ คงจะสามารถขายได้ราคาที่ไม่เลวแล้ว”

จางลั่วเฉินไม่ได้รีบเอา“เพลงดาบเทียนซิน”ไปขายที่เมืองอู่ แต่รอกระทั่งให้ฟ้ามืด แล้วจึงเดินออกไปจากวัง

“องค์ชายเก้า ดึกขนาดนี้ยังจะออกนอกวังอีกหรือ”ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูสองนายถามขึ้น

ทหารยามทั้งสองนายนี้เองก็รู้ว่าองค์ชายเก้าและสนมหลินนั้นถูกขับออกมาอยู่ที่ตำหนักทั่วไป นั่นหมายถึงในวังหวางพวกเขาไม่มีอำนาจแล้ว ดังนั้นใบหน้าของทหารทั้งสองนายถึงไม่ได้มีสีหน้าที่มีความเกรงกลัวและเคารพอยู่เลย ซ้ำยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อจางลั่วเฉินอีกด้วย

จางลั่วเฉินไม่ใช่จางลั่วเฉินที่เคยอ่อนแอคนนั้น สายตาอันคมกล้าจ้องไปยังทหารทั้งสองนายนั้น แล้วยืดหน้าอกขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปตระกูลหลินหาน้องหนิ่งซาน ยังไม่รีบเปิดประตูอีก”

ไม่ว่ายังไงจางลั่วเฉินก็เป็นลูกหลานตระกูลฮวางที่สูงศักดิ์ ทหารทั้งสองนายเองก็ไม่ได้อยากจะล่วงเกินเขา พวกเขาเปิดประตูวัง ใช้สายตามองจางลั่วเฉิน

“จะเสียงแข็งอะไรนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นลูกของฮ่องเต้อวินอู่จวิน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตายไปซักกี่ครั้งแล้ว”หนึ่งในทหารยามสบถออกมา

“หลินหนิ่งซาน หัวกะทิของตระกูลหลินเองก็กำลังจะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด เขายังไม่ยอมตัดใจ โง่เง่าจริง ๆ ” ทหารอีกนายก็พูดออกมาอย่างดูถูก

จางลั่วเฉินเองก็ไม่ได้ไปหาหลินหนิ่งซานจริง ๆ แค่หาข้ออ้างออกนอกวังที่จะไม่ทำให้คนอื่นสงสัยเท่านั้น!

ออกมาจากวัง จางลั่วเฉินก็หยิบเอาเสื้อคลุมสีดำออกมาจากหินผนึกมิติ คลุมร่างทั้งร่างไว้ แล้วเดินเมืองหวางที่มีแสงไฟสว่างไสว

ในความมืด ไม่มีใครสามารถมองหน้าของเขาได้ชัดเจน 

ผ่านไปไม่นาน จางลั่วเฉินก็เดินผ่านถนนที่ครึกครื้น แล้วเข้าไปในเมืองอู่

สถานที่อื่น ๆ ของเมืองหวาง ก็มีเพียงแค่เขตของ“เมืองสู”และ“เมืองอู่” ซึ่งมีขนาดเพียงแค่ 1 ใน 10 ของเมืองหวางเท่านั้น แต่กลับเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของอวินอู่จวิน

เมืองอู่แบ่งออกเป็น 5 เขตคือ ตลาดค้ายา ตลาดค้าอาวุธ ตลาดค้าสัตว์ ตลาดค้าทาส และตลาดศูนย์กลางค้าขาย

เมืองอู่สามารถตัดสินความเจริญและความเสื่อมโทรมของประเทศอวินอู่จวินได้ ดังนั้น ประเทศจวินจึงค่อนข้างเข้มงวดกับการจัดการในเมืองอู่มาก 

ทุกคนที่เข้ามาในเมืองอู่จะต้องถูกทหารตรวจสอบ มีเพียงแค่จอมยุทธหรือผู้ที่มีฐานะสูงส่งเท่านั้น ถึงจะมีสิทธ์เข้าไปในเมืองอู่

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล

ตอนที่ 6 หลินหนิ่งซาน 
จางลั่วเฉิน สนมหลิน และสาวใช้อวินเอ๋อร์ นั่งอยู่บนรถหลิ่งม่าเก่า ๆ คันหนึ่ง ออกจากวังอวินอู่หวังอย่างช้าๆ

 หลิ่งม่า ไม่ใช่ม้า แต่เป็นสัตว์ที่บนหัวมีเขางอกอยู่ 1 อัน ร่างกายสูงถึง 3 เมตรกว่า คล้ายกับลูกช้าง ความเร็วในการวิ่งของมันเร็วกว่าม้าทั่วไปที่ใช้ในสงครามกว่า 5 เท่า ในบรรดาหลิ่งม่านั้น บางตัวยังสามารถวิ่งได้ถึงวันละ 3000 ลี้

 รถหลิ่งม่าที่ไม่รู้วิ่งมาเป็นระยะทางไกลแค่ไหน ค่อยๆหยุดแล้วจอดลง

 จางลั่วเฉินลงมาจากรถ มองไปยังประตูใหญ่เหลืองอร่ามสองบานที่อยู่ไม่ไกล เขามองไปยังป้ายที่แขวนอยู่ด้านบนขอบสีทอง มีตัวอักษรที่เขียนอย่างมีพลังไว้สองตัวว่า “จวนหลิน!”

 เขาฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า ท่านแม่เองก็แซ่“หลิน”

 ดูจากความโอ่อ่าของจวนแล้ว ตระกูลหลินเองก็ไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเลย

 ถ้าหากว่าตระกูลฝ่ายแม่ของท่านแม่เป็นตระกูลใหญ่ ทำไมถึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล ? กลับโดนสนมคนอื่นในตระกูลฮวางรังแกอยู่ตลอด

 จะต้องมีเรื่องอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ !

 สนมหลิงเองก็เดินออกมาจากรถ แล้วเงยหน้ามองไปที่ประตูใหญ่อย่างคุ้นเคยแต่ก็เหมือนกับไม่คุ้นเคย นางกล่าวว่า “ลูกเฉิน ลูกคงอยากจะพบหนิ่งซานมานาน! ตอนนี้ลูงเองก็สามารถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แล้ว คงมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับหนิ่งซาน ลูกต้องพยายามเข้านะ!”

 จนกระทั่งถึงตอนนี้ จางลั่วเฉินยังไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วหนิ่งซานเป็นใคร ได้ยินที่อวินเอ๋อร์กับท่านแม่พูด เขามักจะรู้สึกแปลกๆ

 จางลัวเฉินและอวินเอ๋อร์ เดินตามการนำของสนมหลินเข้าไปในจวนหลิน

  สนิมหลินกลับเข้าตระกูล ตามปกติแล้วควรจะได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โต แต่ว่า คนที่มารับจางลั่วเฉินกับสนมหลินที่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่นั้นกลับมีเพียงแค่พ่อบ้านชราคนหนึ่ง 

 สนมหลินถูกพ่อบ้านชราพาไปในจวน ส่วนจางลั่วเฉินกับอวินเอ๋อร์อยู่นอกจวน มีเพียงแค่สาวใช้ 2 คนไว้คอยดูแลพวกเขา

  จางลั่วเฉินรู้สึกว่าบรรยายกาศหมือนมีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบไว้

 “องค์ชายเก้า ท่านไม่ไปหาหนิ่งซานหรือ ตอนนี้นางคงอยู่ที่สนามฝึกยุทธ์ ลูกหลานทั้งหลายของตระกูลหลินคงกำลังฝึกฝนกันอยู่ที่นั่นกัน”อวินเอ๋อร์กล่าว

 ใช่อวินเอ๋อร์ละสนมหลินพูดถึงหลายครั้งแล้ว ภายในใจจางลัวเฉินรู้สึกสนใจอยากรู้ขึ้นมา ว่าผู้หญิงที่ชื่อว่า“หนิ่งซาน”จริงๆแล้วเป็นใครกันแน่ ไปพบซักหน่อย คงไม่มีปัญหาอะไร

 “อืม! ไปเถอะ ไปสนามฝึกตระกูลหลิน”จางลั่วเฉินพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น

 ภายในจวนตระกูลหลิน

 ในห้องโถงที่งดงามแบบโบราณห้องหนึ่ง ผู้นำตระกูลหลิน หลินเฟิ่งเซียน นั่งอย่างมั่นคงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ

 มองดูแล้วอายุประมาณ 30 กว่าปี บนริมฝีปากด้านบนไว้เคราทิ้งตัวลงมาด้านข้างทั้งสองด้านอย่างเป็นระเบียบ แล้วปรายตามองมายังสนมหลินที่นั่งอยู่ตรงข้าม พลางกล่าว่า “องค์เก้ายังไงก็เป็นลูกหลานในตระกูลฮวาง ถึงจะเปิดผนึกอักษรสวรรค์ ก็ควรจะไปเลือกคัมภีร์ฝึกฝนที่หอคัมภัร์ตระกูลฮวาง สนมหลินทำไมถึงได้มาเอาคัมภัร์ฝึกฝนที่ตระกูลหลิน” 

 สนมหลินเม้มริมฝีปากเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่มาเอา แต่มาขอร้องพี่ใหญ่ให้เห็นแก่ลูกเฉินที่เป็นหลานชายแท้ๆ แล้วให้คัมภัร์ฝึกฝนซักม้วนแก่ลูกเฉิน”

 “ โครม!”

 หลินเฟิ่งเซียนฮึ่มออกมา แล้วตบไปบนโต๊ะ พร้อมกล่าวว่า“ตอนนี้รู้จักจะมาขอร้องข้าที่เป็นพี่ใหญ่ มาพูดเรื่องฐาติพี่น้อง สามปีก่อน ตอนที่ข้าไปจวนจวินหวางขอร้องเจ้า ทำไมเจ้าไม่เห็นแก่เฉินยวู่ว่าเป็นหลานเจ้าแล้วช่วยเขา ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ ว่าเฉินยวู่เป็นลูกชายคนโตของข้า แล้วยังเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากในร้อยปีของตระกูลหลิน แค่เจ้าเข้าไปขอร้องจวินหวาง ก็จะสามารถปกป้องเขาได้ แต่ว่า เจ้ากลับไม่ไป...”

 “สามปีก่อน…”สนมหลินรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก จนกลั้นน้ำตาไม่ไหว นางอยากจะพูดความจริงของเรื่องเมื่อสามปีก่อน

 แต่ว่า หลินเฟิ่งเซียนกลับตัดบทคำพูดของสนมหลิน แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ!ตระกูลหลินกับเจ้าตัดความสัมพันธ์กันไปนานแล้ว วันหลังก็ไม่ต้องกลับมาอีกนะ พระสนมหลิน” 

 “ตุ๊บ!”

 สนมหลินคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย น้ำเสียงสั่นเครือ แล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่จะตัดขาดกันอย่างนี้เลยหรือ ข้าอยากพบท่านพ่อ”

 “ท่านพ่อไปเขาเทียนม๋อ อีกสามเดือนถึงจะกลับมา ตอนนี้เจ้ายังพบท่าพ่อไม่ได้” หลินเฟิ่งเซียนพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “ยังมีอีกเรื่อง หนิ่งซานกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด บอกองค์ชายเก้าให้อยู่ห่างๆหนิ่งซานด้วย”

 ในใจสนมหลินรู้สึกหมดหวัง แล้วกล่าวว่า“พี่ก็รู้มาตลอดว่า ลูกเฉินชอบหนิ่งซานมาก ถ้าหากเขารู้ว่าหนิ่งซานจะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด เขาจะเสียใจขนาดไหน แล้วอีกอย่าง ทำไมถึงเป็นองค์ชายเจ็ด”

 หลินเฟิ่งเซียนกล่าว “ตอนที่องค์ชายเจ็ดอายุได้ 3 ปี ก็สามารถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ระดับ 7 ได้ เขานั้นจะมีความสามารถขนาดไหน แล้วดูจากการฝึกของเขาในตอนนี้ คนหนุ่มของทั้งประเทศอวินอู่จวิน ไม่มีใครจะสามารถตามเขาได้ทัน หนิ่งซานสามารถแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดได้ จะเป็นประโยชน์ตระกูลหลินในอนาคตมาก”

 “ถึงองค์ชายเก้าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนิ่งซาน เป็นเพื่อนสมัยเด็กของหนิ่งซาน เรียกได้ว่าเป็นคู่กันมาตั้งแต่เล็ก แต่ว่า องค์ชายเก้านั้นมีความสามารถธรรมดา อายุ 16 ถึงจะสามารถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ ยังไงชาตินี้ก็คงไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย ถ้าสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นอเวจีระดับปลายได้ก็นับว่าถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางเทียบกันกับองค์ชายเจ็ดได้”

 สนมหลินกล่าวถาม “หนิ่งซานเองก็ยินยอมที่จะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดงั้นหรือ แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล จะมีความสุขอย่างนั้นหรอ”

 หลินเฟิ่งเซียนจ้องไปที่สนมหลินแล้วกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ผิดแล้ว นี่เป็ยการตัดสินใจของหนิ่งซานเอง”

 ณ . สนามฝึกตระกูลหลิน กว้างขวางมาก ใหญ่ขนาดครึ่งนึงของสนามบอล

 ลูกหลานตระกูลหลินแต่ละคนสวมชุดฝึกสีน้ำเงิน กำลังฝึกซ้อมเพลงยุทธอยู่ที่สนามฝึก มีทั้งกำลังฝึกเพลงฝ่ามือ มีทั้งที่กำลังฝึกเพลงดาบ บางคนก็กำลังฝึกเพลงมีด

 พวกเขาล้วนเป็นหัวกะทิของตระกูลหลิน ทุกคนเปิดผนึกอักษรสวรรค์กันหมดแล้ว และกำลังตั้งอกตั้งใจฝึกซ้อม แล้วยังมีผู้อาวุโสของตระกูลหลินในสนามฝึกคอยช่วยชี้แนะแนวทางฝึก เพื่อช่วยให้ทุกคนก้าวหน้า

 จางลั่วเฉินพยักหน้า แล้วแอบคิดในใจว่า “ตระกูลหลินในประเทศอวินอู่เองก็นับได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่”


ขณะนั้นเอง สายตาของจางลั่วเฉินก็มองไปที่หญิงสาวรูปร่างผอมคนหนึ่ง ตะลึงในความสวยของนาง   

 หญิงสาวคนนั้นมองดูแล้วอายุน่าจะอยู่ประมาณ 14 ปี หรือ 15 ปี รูปร่างเล็กบาง คิ้วเหมือนดังใบหลิว ดวงตาเป็นประกายราวกับดวงดาว ผิวขาวเหมือนกับหยก สวยจนเขาตกตะลึง

 ดาบวิเศษในมือของนางเปล่งแสงเหมือนกับแสงดาว แสงที่เปล่งออกมาเป็นประกายสีน้ำเงิน กระแสดาบโอบล้อมอยู่รอบตัวของนาง ท่วงท่าเท้าที่นางเดิน อ่อนช้อยเหมือนกับกำลังเต้นรำ สง่างามเหมือนกับมังกร เพลงดาบไปจนกระทั่งถึงสุดท้าย

 “ปลดปล่อยลมปราณออกมาภายนอก ดาบรำไปตามใจ วิธีการฝึกของนางอย่างน้อยก็คงต้องอยู่ในขั้นอเวจีระดับกลาง แข็งแกร่งกว่าองค์ชายแปดมาก”จางลั่วเฉินคิดอยู่ในใจ

 “เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่องค์ชายเก้าหรอกหรอ เขายังมาที่ตระกูลหลิน”ลูกหลานตระกูลหลินคนหนึ่งหันมาเห็นจางลั่วเฉินที่ยืนอยู่นอกสนามฝึก ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น

 “ต้องมาหาน้องหนิ่งซานอีกแน่ๆ น่าเสียดาย ตอนนี้หนิ่งซานไม่ได้อยากจะเจอเขาเลย”

 “ได้ยินมาว่าเขาเองก็เปิดผนึกอักศรสวรรค์ได้แล้ว”

 “เฮ้อ!อายุ 16 พึ่งจะเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ จะยังมีประโยชน์อะไร ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนิ่งซาน สงสัยว่าแค่ประตูใหญ่ของตระกูลหลินก็คงเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ ”

 “ได้ยินมาว่า น้องหนิ่งซานกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด เป็นคู่ที่ผู้ชายก็เก่งผู้หญิงก็สวยจริงๆ!”

 “ฮ่า ฮ่า!จะว่าไปแล้ว องค์เก้านั่นก็แอบชอบน้องหนิ่งซานมาตลอด พวกนายลองทายดูนะว่า ถ้าหากเขารู้เรื่องที่หนิ่งซานกับองค์ชายเจ็ดจะแต่งงานกันล่ะก็ เขาจะมีสีหน้ายังไง ”

 ลูกหลานทั้งหลายของตระกูลหลินล้วนหยุดฝึก แล้วจ้องไปที่จางลั่วเฉินที่ยืนอยู่ด้านนอกของสนามฝึก ชี้ไม้ชี้มือ กระซิบกระซาบ พร้อมส่งเสียงหัวเราะล้อเลียนออกมา

 หนิ่งซานเองก็หยุดฝึก แล้วปรายตามองไปที่จางลั่วเฉินที่ยืนอยู่ด้านนอกสนามฝึก แล้วยกแขนขึ้นมาโบกเบา ๆ ดาบวิเศษในมือก็เก็บเข้าไปในปลอกดาบที่ห่างออกไป 5 เมตรอย่างแม่นยำ

 หนิ่งซานเดินไปข้างหน้าจางลั่วเฉิน แล้วมองไปที่ร่างกายผอมบางของจางลั่วเฉิน พลางกล่าวว่า “พี่ชาย ไม่ได้เจอกันนาน ได้ยินมาว่าพี่ก็เปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แล้ว”

 ตอนที่ยังเล็ก หนิ่งซานกับจางลั่วเฉินเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันมา นับได้ว่าเป็นคู่กันมาตั้งแต่เล็ก ภายหลังหนิ่งซานเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ เวลาส่วนใหญ่จึงใช้ไปกับการฝึกฝน นับวันก็ยิ่งห่างกับจางลั่วเฉิน

 และพอเกิดเรื่องเมื่อสามปีก่อน นางก็ไม่ได้ไปที่วังอวินอู่จวินอีกเลย ถึงแม้จางลั่วเฉินจะไม่สบายบ่อย ๆ แต่ก็ยังมาหานางที่ตระกูลหลินบ่อย ๆ ถึงแม้จะได้เจอกันเพียงแวบเดียว ก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว

 แต่ว่า โอกาสที่จะได้เจอนางนับวันยิ่งน้อยลง ยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ยิ่งไม่มีโอกาสได้พบกันเลย นางมักจะส่งสาวใช้ประจำตัวออกมา แล้วบอกให้จางลั่วเฉินกลับไป

 “ที่แท้นางคือลูกพี่ลูกน้องของข้า”

 จางลั่วเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับ’’หลินหนิ่งซาน’’ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับนาง เพราะฉะนั้นสีหน้าจึงเรียบเฉย แล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “เปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แล้วจริง ๆ แต่ว่าฮองเฮาทรงบอกว่าเป็นผนึกอักษรสวรรค์ที่ไม่ได้มีระดับอะไร ยังไงพี่ก็ไม่สามารถเทียบกับผนึกอักษรสวรรค์ของน้องหนิ่งซานได้”

 หนิ่งซานพยักหน้า แล้วยกคางขึ้นอย่างภูมิใจจนเหมือนดั่งกับหงส์ พลางกล่าวว่า  “พี่ก็อายุตั้ง 16 ปีแล้ว เปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ ก็ถือว่าสวรรค์ใจดีพี่มากแล้ว วันหลังต้องขยันฝึกฝน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ ไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อบ่อย ๆ สำหรับพี่แล้วก็คงเรียกได้ว่า ....  สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาได้ก็ดีแล้ว”

 จางลั่วเฉินขมวดคิ้วขึ้นน้อย ๆ พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “วันหลังพี่จะต้องขยันฝึกฝน แล้วฝึกฝนให้ทันฝีมือเจ้า”

 หนิ่งซานรู้ว่าจางลั่วเฉนชอบนาง ได้ยินที่จางลั่วเฉินพูด จึงคิดว่าจางลั่วเฉินยังชอบนางอยู่ แล้วยังจะตามจีบนางต่อ

 “เฮ้อ! พี่ชาย ข้าฝึกไปจนถึงขั้นอเวจีระดับกลางแล้ว ห่างกับระดับสูงอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ดูจากความสามารถของพี่ ถึงจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงฝึกไม่ถึงระดับกลาง สำหรับพี่ในตอนนี้ สิ่งที่ควรจะทำก็คือค่อยๆฝึกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องวิ่งตามสิ่งที่ไม่มีหวังอย่างหน้ามืดตามัว เป็นคนอย่ามองให้สูงเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นจะกลับกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง” หนิ่งซานกล่าวอย่างมีความนัย

 จางลั่วเฉินขมวดคิ้ว

 หนิ่งซานมองจางลั่วเฉินอย่างเห็นใจเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พี่ชาย ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกพี่ หวังว่าพี่จะไม่เสียใจมากนัก อีกสามเดือน ตอนที่จวินหวังฝึกเสร็จ ข้ากับองค์ชายเจ็ดก็จะแต่งงานกัน”

 “มีเรื่องสนุกๆให้มองแล้ว! ฮ่าฮ่า!”


จอมยุทธลูกหลานตระกูลหลินทั้งหลาย ยิ้มในใจอย่างมีความสุข แล้วพากันมองมาที่จางลั่วเฉิน อยากจะรู้ว่าจางลั่วเฉินจะมีปฎิกิริยานี้ยังไง ?

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล

ตอนที่ 5 มังกรคชสาร 

แววตาของจางลั่วเฉินแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและความคิดที่มันคง พร้อมกล่าวว่า“ท่านแม่ วางใจได้! ข้าจะขยันฝึกฝนจนเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แล้วใช้กำลังที่ข้ามีปกป้องท่านแม่”

 จางลั่วเฉินหยิบเสวี่ยตัน กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง แล้วฝึกฝนต่อไป

 “พระสนม จอมยุทธ์ไม่เพียงแต่ต้องกินเสวี่ยตันเท่านั้น ซ้ำยังต้องมีคัมภัร์ฝึกฝนพลังอีกด้วย องค์ชายจำเป็นต้องมีคัมภีร์ฝึกฝนพลัง ถึงจะสามารถทะลวงจุดชีพจรได้”อวินเอ๋อร์ สาวใช้กล่าว

 สนมหลินมองตามหลังจางลั่วเฉิน เม้มริมฝีปาก พยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว! แต่ว่า ถึงจะเป็นแค่คัมภีร์ฝึกฝนที่ระดับต่ำที่สุด ก็ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 500 เหรียญเงิน จากกำลังเงินของข้าในตอนนี้ ยังไงก็ซื้อไม่ไหว นอกจากนี้ตอนนี้ฮองเฮาและราชครูเป็นผู้กุมอำนาจและจัดการเรื่องต่างๆ ยังไงฮองเฮาก็ไม่ให้ลูกเฉินไปหยิบคัมภีร์ฝึกฝนพลังกับเพลงยุทธ์ที่หอคัมภีร์หรอก ดูแล้วคงเหลือแค่วิธีเดียวแล้ว ” 

 อวินเอ๋อร์สาวใช้กล่าวต่อว่า “พระสนมจะไปขอร้องคนตระกูลหลินหรือเพคะ แต่ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว พระสนมกับตระกูลหลินแตกหักกันไปแล้ว พวกเข้าจะยอมให้คัมภีร์ฝึกฝนกับองค์ชายเก้าหรือเพคะ”

 “ขอเพียงพวกเขายอมให้คัมภีร์ฝึกฝนกับลูกเฉิน ต่อให้ต้องคุกเข่าลงแล้วยอมรับผิด ข้าก็ยอมทำ ”สนมหลินคล้ายกับจะคิดถึงเรื่องในอดีต จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

 “แต่ว่าตอนนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของพระสนม…..”อวินเอ๋อร์พึมพำออกมา

 มิติในหินผลึกมิติ เต็มไปด้วยหลิงชี่ มีความเข้มข้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับภายนอก

 ในประเทศอวินอู่จวินนั้น ตามภูเขาแม่น้ำที่มีหลิงชี่เข้มข้นถึง 1.5 เท่า ก็กลายเป็นสถานที่ล้ำค่าในการฝึกฝน และเป็นสถานที่แย่งชิงกันของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย

 จางลั่วเฉินนั่งอยู่ตรงกลางภายในมิติ แล้วหยิบเอาขวดหยกที่บรรจุเสวี่ยตัน 10 เม็ดไว้ออกมา เขาเทเสวี่ยตันออกมา 1 เม็ด แล้วลองดมกลิ่นดู

 “เสวี่ยตัน”ถึงจะสร้างมาจากเลือดสัตว์ แต่กลับไม่มีกลิ่นเลือด มันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ

 ตอนที่นักปรุงยาทำเสวี่ยตัน เขาได้นำเอากลิ่นเลือดออกไป แล้วเพิ่มหญ้าหู่หลัวกับดอกม่านถัวเข้าไป

 คนที่กินเสวี่ยตันนานเข้า ไม่เพียงแค่ช่วยให้จอมยุทธ์มีพละกำลังเพิ่มขึ้น ทั้งยังช่วยปรับชีพจรของจอมยุทธ์ รวมทั้งกระดูก และอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของจอมยุทธ์อีกด้วย ทำให้ร่างกายของจอมยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 “แค่เสวี่ยตันระดับหนึ่ง”จางลั่วเฉินพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดกับตัวเองว่า “จากระดับการฝึกของข้าในตอนนี้ แค่เสวี่ยตันระดับหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”

 จางลั่วเฉินเอาเสวี่ยตันใส่เข้าไปในปาก 1 เม็ด แล้วรีบปิดขวดหยกทันที พร้อมนำไปวางไว้บนแท่นหิน

 จากการกระตุ้นของลมปราณ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเปิดและหลอมรวม พลังเลือดในเสวี่ยตันได้ ทำให้จางลั่วเฉินมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาก 

 “ถึงแม้ข้าจะอยู่ขั้นอเวจีระดับต้น และได้กลายเป็นจอมยุทธ์แล้ว แต่ว่าร่างกายนี้ยังอ่อนแอเกินไป ยังเอาไปเทียบกับจอมยุทธ์คนอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องรีบฝึกฝนร่างกายตัวเองให้แข็งแรงขึ้นมา ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดการต่อสู้กับจอมยุทธ์คนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกับขึ้นมา ข้าจะต้องเสียเปรียบอย่างมาก ” 

 สำหรับจอมยุทธ์แล้ว ไม่เพียงแต่ต้องฝึกฝนลมปราณเท่านั้น ยังต้องฝึกฝนเพลงยุทธอีกด้วย

 “ฝ่ามือมังกรคชสาร”

 ในหัวของจางลั่วเฉินปรากฏภาพกระบวนท่าฝ่ามือชุดนี้ออกมา ซึ่งคัมภีร์เพลงยุทธ์ในความทรงจำของเขา ฝ่ามือชุดนี้ถูกจัดอยู่ในสามอันดับแรก เหมาะกับเขาตอนนี้ในการฝึกฝน

 เขาแยกขาทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วก้มเอวต่ำลง แล้วนำลมปราณในร่างกายไปไว้ที่ขาทั้งสองข้าง เพื่อให้ร่างกายมั่นคง พร้อมค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น แล้วทำตามกฎที่เห็น พร้อมขยับแขนทั้งสองข้าง

 ในหัวของเขา เหมือนกับตัวเองเป็นคชสารสวรรค์ที่มีพละกำลังไม่หมดสิ้น กลืนเมฆคายหมอกได้เหมือนกับมังกรปีศาจ คล้ายกับจะเอาพละกำลังทั้งหมดโจมตีออกมา

 ทุกฝ่ามือที่ออกไป ต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ลมปราณภายในเองก็หลอมรวมเข้ากับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดการเปลี่ยนแปลง หลอมรวมเข้ากับลมปราณ มีแรงเพิ่มมากขึ้น แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น 

 ฝ่ามือมังกรคชสาร มีทั้งหมด 13 กระบวนท่า เป็นกระบวนท่าเพลงยุทธ์ระดับต่ำของชั้นราชา 

 พูดอย่างชัดเจอก็คือ ถ้าหากสามารถฝึกฝ่ามือมังกรคชสารได้ถึงกระบวนท่าที่ 13 ก็จะมีระดับพอพอกันกับเพลงยุทธ์ขั้นเทพ

 กระบวนท่าและเพลงยุทธ์จะสามารถแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ ปุถุชน วิญญาณ ปีศาจ ราชา เทพ

 ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 1 “คชสารสะท้านปฐพี”ถ้าฝึกสำเร็จ อานุภาพจะเท่ากับเพลงยุทธระดับต่ำขั้นปุถุชน 

 ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 2 “มังกรเหินนภา”ถ้าฝึกสำเร็จ อานุภาพจะเท่ากับเพลงยุทธ์ระดับกลางขั้นปุถุชน


ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 3 “มังกรคชสารคืนถิ่น”ถ้าฝึกสำร็จ อานุภาพจะเทียบเท่ากับเพลงยุทธระดับสูงสุดขั้นปุถุชน


ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 4 “เงาคชสารร่างมังกร”ถ้าฝึกสำเร็จ อานุภาพจะเทียบเท่ากับเพลงยุทธระดับต่ำขั้นวิญญาณ


ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 13  มีชื่อว่า“มังกรคชสารทลายพิภพ”ถ้าฝึกสำเร็จ อานุภาพจะเทียบเท่ากับเพลงยุทธ์ขั้นเทพ เมื่อฝึกฝนสำเร็จอนุภาพที่ใช้ออกมานั้นยากที่จะจินตนาการได้

 ฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าก่อนหน้านี้ นับได้ว่าเป็นเพลงยุทธ์ระดับต่ำ อานุภาพไม่นับว่าแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ฝ่ามือมังกรคชสาร นับตั้งแต่กระบวนท่าที่ 7 ฝึกฝนได้ยากยิ่ง คนที่สามารถฝึกฝนได้ถึงกระบวนท่าที่ 7 นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก

 และถ้าเมื่อผ่านกระบวนท่าที่ 7 ทุก ๆ กระบวนท่าต้องสิ้นเปลืองเวลาและกำลังอย่างมาก ถ้าหากพละกำลังที่จะฝึกฝนไม่พอ รับไม่ไหวในการฝึกฝนขั้นที่ 7 อาจจะทำให้ร่างกายถูกเผาจนมอดไหม้  


ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงทำให้ฝ่ามือมังกรคชสารเป็นได้เพียงแค่เพลงยุทธระดับต่ำขั้นราชา

 ถึงแม้ฝ่ามือมังกรคชสารจะฝึกฝนได้ลำบาก แต่ว่ากลับเหมาะสมพอดีกับการฝึกฝนของจางลั่วเฉิน ที่สามารถใช้ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ในการที่ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้

 “กระบวนท่าที่ 1 ของฝ่ามือมังกรคชสาร คชสารสะท้านปฐพี”

 จางลั่วเฉินเริ่มด้วยท่าเท้าอาชา จากนั้นก็เพิ่มระดับความเร็วขึ้น พุ่งออกไปอย่างรุนแรง พร้อมออกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว

 นิ่งเหมือนภูเขา ขยับเหมือนช้างที่บ้าคลั่ง

 เขาฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งลมปราณในร่างกายหมด ถึงได้เช็ดเหงื่อ แล้วนั่งลงบนพื้น ใช้ผนึกอักษรสวรรค์ระหว่างคิ้วซึมซับหลิงชี่ในอากาศภายในหินผลึกมิติ แล้วเปลี่ยนให้เป็นพลังลมปราณ

 ในมิติของหินผลึกมิตินี้ เขาฝึกฝนติดต่อกันถึง 9 วัน ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 1 “คชสารสะท้านปฐพี”ได้สำเร็จ

 ภายในมิติ 9 วันนั้นยาวนาน แต่ภายนอกกลับผ่านไปเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น !

 “ยังไม่รู้ว่าจากการฝึกฝนของข้าในตอนนี้ หากแสดงฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 1 ไม่รู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน ? ”

 จางลั่วเฉินออกมาจากหินผนึกมิติ มาถึงหลังจวน แล้วยืนตรงกลางของลาน โคจรลมปราณในร่างกาย รวบรวมไปไว้ที่ขาทั้งสองข้าง

 “คชสารสะท้านปฐพี”

 เขาเหยียบไปตามกฎของท่าเท้า แล้วพุ่งออกไป

 ตามจังหวะท่าเท้า พละกำลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง พุ่งขึ้นมาจากขาทั้งสองข้าง ผ่านเอว  หลัง จนมาถึงบ่าทั้งสองข้าง แล้วพุ่งออกไปจากทางแขนทั้งสองข้าง

 ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฝ่ามือกระบวนท่าเดียว แต่กลับใช้กำลังกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย และยังระเบิดพลังออกมาได้อย่างน่าตกใจยิ่ง

 “โครม!”

 ฝ่ามือทั้งสองข้างโจมตีไปที่ด้านบนของหินใหญ่หนัก 1000 ชั่งขนาดเท่าครึ่งตัวคน จากนั้นเขารีบเก็บแขนเข้ามา เหยียบไปบนรอยเท้าเดิม แล้วรีบกลับมาที่เดิมอย่างรวดเร็ว

 จางลั่วเฉินมองไปที่ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น เห็นเพียงแค่บนก้อนหินนั้นมีรอยฝ่ามือนูนจางปรากฏขึ้นมา ด้านล่างของก้อนหิน จมลงไปในดินประมาณ 2 เซนติเมตร

 สำหรับอานุภาพของฝ่ามือนี้ จางลั่วเฉินพอใจเป็นอย่างมาก

 ถึงแม้ว่าฝ่ามือมังกรคชสารในตอนนี้จะเป็นเพียงแค่เพลงยุทธ์ระดับต่ำขั้นปุถุชนแต่กลับมีระดับสูงกว่าเมื่อเทียบได้กับเพลงยุทธ์ระดับต่ำขั้นปุถุชนของคนอื่น พลังที่ระเบิดออกมาก็แข็งแกร่งมากกว่า

 “เพลงยุทธ์ยิ่งมีขั้นสูง การฝึกฝนนั้นก็ยิ่งยาก ถ้าหากว่าตอนนี้ข้าไปฝึกเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณเลย ยังไงก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ในระยะเวลา 9 วัน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งปีขึ้นไป นอกจากนี้ จากปริมาณลมปราณของข้าในตอนนี้ ก็ไม่สามารถแสดงเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณออกมาได้อยู่ดี ”

 เวลาที่ใช้ในการฝึกเพลงยุทธ์กับการฝึกพลัง จำเป็นต้องจัดการอย่างเหมาะสม


ถ้าหากหนักไปทางการฝึกเพลงยุทธ์ แล้วละเลยการฝึกพลัง จะทำให้การฝึกฝนขั้นพลังช้าลง


หากหนักไปทางการฝึกพลัง ละเลยเพลงยุทธ์ ตอนที่ต้องปะทะกับคนอื่น ก็อาจจะเสียเปรียบได้

 ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การฝึกฝ่ามือมังกรคชสารกระบวนท่าที่ 1 สำเร็จ 800 ปีหลังจากนี้ ก็นับได้ว่าเป็นความสามารถขั้นแรกในการปกป้องตัวเอง


9 วันนี้ จางลั่วเฉินก้าวหน้าไปมาก ลมปราณในบ่อกักเก็บเขาก็ฝึกลมปราณจนเต็มแล้ว สามารถทะลวงชีพจรจุดที่สองได้แล้ว

 แต่ว่าถ้าจะทะลวงจุดชีพจร จำเป็นจะต้องใช้น้ำล้างกระดูก แต่ฮองเฮากลับให้น้ำล้างกระดูกมาแค่ชุดเดียว และตอนที่ทะลวงจุดชีพจรจุดแรกก็ใช้ไปแล้วเสียด้วย

 ต้องทำยังไงถึงจะได้น้ำล้างกระดูกชุดที่สอง หรือมากกว่านี้มา

 “องค์ชายเก้า พระสนมกำลังหาองค์ชายอยู่ พระองค์มาทำอะไรตรงนี้”อวินเอ๋อร์ สาวใช้มองจางลั่วเฉินที่ยืนอยู่กลางลาน แล้วเดินเข้ามาอย่างสงสัย

 อวินเอ๋อร์คือสาวใช้คนเดียวของสนมหลินและจางลั่วเฉิน อายุประมาณ 17 หรือ 18 ปี หน้าตาสวยงาม ดวงตาเป็นประกาย คางเรียวยาว

  จางลั่วเฉินเดินมาข้างหน้าอวินเอ๋อร์ บังสายตาของอวินเอ๋อร์ ไม่ให้มองเห็นรอยฝ่ามือสองรอยบนก้อนหินใหญ่หนักประมาณ 1000 ชั่งก้อนนั้น แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า 


“พี่อวิน แผลบนแขนพี่หายดีขึ้นบ้างมั๊ย”

 อวินเอ๋อร์ส่ายหัวเบาๆ แล้วกล่าวว่า“บาดเจ็บที่กระดูกและเส้นเอ็นต้องใช้เวลา 100 วัน เกรงว่ายังต้องรออีก 3 เดือนแผลถึงจะหายดี”

 แผลที่แขนของนาง คือที่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ถูกองค์ชายแปดผลักออกไปแล้วล้มลงกระดูกหัก สำหรับนางที่เป็นข้ารับใช้แล้ว อย่าพูดเลยว่ากระดูกหัก ถึงแม้องค์ชายแปดจะตีนางจนตาย องค์ชายแปดก็ไม่ได้มีความผิดอะไร

 ในโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอไม่ได้มีฐานะอะไร
 จางลั่วเฉินกล่าวถาม“ทำไมไม่ซื้อยาเชื่อมกระดูกสักชุดละ”

 อวินเอ๋อร์ทนต่อความเจ็บที่แขน ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยแล้วกล่าวว่า “ยาเชื่อมกระดูกที่ระดับต่ำสุดก็ต้องใช้เงินถึง 200 เหรียญเงินถึงจะซื้อได้ อย่างข้าที่เป็นคนชั้นล่าง ไม่มีทางที่จะใช้ได้เลย องค์ชายเก้า ที่ท่านเป็นห่วงข้ารับใช้อย่างข้าอย่างนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว รีบตามข้าไปพบสนมหลินเร็ว วันนี้ พวกเราจะออกนอกวัง”

 จางลั่วเฉินเดินตามหลังอวินเอ๋อร์ ถามอย่างแปลกใจว่า “ออกนอกวังอย่างนั้นหรอ ไปที่ไหนกัน ”

 “ไปพบหนิ่งซาน! ไม่ได้เจอนางนานมากแล้ว ท่านต้องดีใจแน่ ๆ ” ใบหน้าของอวินเอ๋อร์มีรอยยิ้มอย่างสดใส แล้วจ้องมองมาที่จางลั่วเฉิน

 ทุกครั้งที่พูดถึง“หนิ่งซาน” เขาจะต้องหน้าแดงหูแดงขึ้นมา เขินอายเหมือนกับผู้หญิง


“หนิ่งซานคือใคร ” ประโยคนี้คือประโยคที่เมื่อกี้จางลั่วเฉินอยากจะถามออกมา แต่กับต้องกลืนลงคอไป

 แน่นอนว่า จางลั่วเฉินที่ป่วยตายไป ต้องรู้จักหญิงสาวที่ชื่อว่า “หนิ่งซาน” อย่างแน่นอน แล้วยังน้ำเสียงของอวินเอ๋อร์ ความสัมพันธ์ของพวกเขาออาจจะไม่ธรรมดาอีกด้วย

 ถ้าหากว่าจางลั่วเฉินพูดออกมาว่า “หนิ่งซานคือใคร”จะต้องถูกสงสัยเป็นแน่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เงียบ ๆ เอาไว้ ยิ่งพูดน้อยยิ่งดีกว่า

 โชคดีที่หลายปีนี้ ร่างกายของจางลั่วเฉินนั้นอ่อนแอและป่วยมาโดยตลอด นอกจากสนมหลินที่คอยดูแลเขาแล้ว เขาก็พบกับคนอื่นน้อยมาก ถ้าไม่อย่างนั้น คงโดนคนอื่นสงสัยไปนานแล้ว

 อวินเอ๋อร์เห็นจางลั่วเฉินแสดงท่าทีนิ่งเฉย ก็เกิดสงสัยขั้นมา แต่ก็ไม่ได้คิดมาก พวกเขาเดินต่อไปยังห้องที่สนมหลินพักอยู่ 

เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล

ตอนที่ 2  เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์

 ณ เมืองที่จางลั่วเ
ตอนที่ 2  เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ฉินอยู่ในตอนนี้มีชื่อว่า ”หยุนอู มลฑลจุ้น ”  ซึ่งเป็นหนึ่งในนับพันเมืองของดินแดนคุนหลุน
ในทุก มลฑล เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนกลาง ในทุกๆปีจะต้องจ่ายส่วยและภาษีให้กับดินแดนกลาง

ผู้ปกครองของ มลฑลจุ้น ก็คือ “ราชาจุ้น"

และสถานะของจางลั่วเฉินในตอนนี้ก็คือ ลูกชายคนที่เก้าของราชาจุ้นหยุนอู

จางลั่วเฉินที่นอนอยู่บนเตียงไม้แข็งและเย็นเฉียบ ยังคงคิดถึงเรื่องพิธีกรรมของวันพรุ่งนี้

“เจ้าของเก่าของร่างนี้ อายุสิบหกแต่ไม่เคยเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ จะต้องเป็นคนที่ถูกเทพสวรรค์ทอดทิ้งแน่ ข้าต้องทำยังไง ถึงจะมีโอกาสได้เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ ? "

ในดินแดนคุนหลุน หากต้องการที่เปิดบันทึกสวรรค์ จะต้องได้รับการยอมรับจากเทพสวรรค์

ถูกเรียกว่าสิทธิ์แห่งเทพสวรรค์

ในงานพิธีกรรม ปรากฏแม่น้ำสวรรค์ออกมาระหว่างดินแดนคุนหลุนและดินแดนสวรรค์ที่เชื่อมต่อทั้งสองดินแดน  เมื่อเทพสวรรค์ได้กินของที่นำมาบูชาแล้ว ก็จะให้บันทึกสวรรค์ยุทธ์แก่มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ เพื่อช่วยพวกเขาเปิดประตูแห่งการฝึกฝน

ยิ่งคนที่มีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ โอกาศที่จะได้บันทึกสวรรค์ก็มีมากเท่านั้น

ชีวิตก่อนของจางลั่วเฉิน ได้เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งนั่นคืออัจฉริยะ

แต่ในร่างนี้กับมีอายุสิบหกแต่กลับไม่เคยเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์  โดยปกติแล้วคนพวกมักจะเป็นคนที่เทพสวรรค์ทอดทิ้ง ถึงแม้พรุ่งนี้ไปเข้าร่วมพิธีกรรม ก็อาจจะไม่สามารถเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้

จางลั่วเฉินนอนไม่หลับ เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ในมือถือหินอัญมณีขาวรูปร่างคล้ายพุทรา ทั้งสองดานคมกริบ ตรงกลางโปร่งใส ไม่มีอะไรเจือปนแม้แต่น้อย

เขาเริ่มสังเกตแร่หินอัณญมณีขาวนี้ บางที มันอาจจะสามารถช่วยทำให้เทพสวรรค์ยอมรับ และเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้

แร่หินอัณญมณีขาวเป็นของขวัญอายุครบสิบหกปีที่จักรพรรดิหมิงให้เขามา

จางลั่วเฉินก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้แท้จริงแล้วคืออะไร เขาเพียงแค่ใส่มันติดตัวเอาไว้ ไม่คิดว่า มาถึงแปดร้อยปีให้หลัง มันยังคงอยู่ที่ตัวของเขา

“ที่ข้ามาถึงแปดร้อยปีหลังได้ ไม่แน่อาจจะเกี่ยวข้องกับมัน"

จางลั่วเฉินกำแร่หินอัณญมณีขาวเอาไว้ในมือแน่น ดวงตาทั้งสองข้างปิดลง ในหัวปรากฏภาพเงาของพ่อเขาจักรพรรดิหมิง ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อจะยังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ ?

คืนนี้ ในเมืองหลวงมีหิมะตกทั่วฟ้า

เช้าวันที่สอง ทั่วทั้งเมืองหลวงปกคลุมไปด้วยหิมะที่หนาแน่น ทั้งที่นั่งพระราชวัง บันได พื้น ล้วนแต่มีหิมะปกคุมอยู่

วันนี้เป็นวันที่หนาวที่สุดของทั้งปี

จอมยุทธ์ของเมืองหลวง ต่างมารวมตัวกันที่ด้านนอกห้องโถง เพื่อที่จะพาราชาจุ้น มาบูชาเทพสวรรค์

ด้านนอกห้องโถง มีโต๊ะหินบูชาโบราณตั้งอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยของบูชามากมาย ทั้ง วัว แกะ หมู และยังมีสัตว์ขนาดใหญ่อีกหลายชนิด

ผู้ดูแล ผู้ฝึกฝน เจ้าชาย  ต่าง ๆ มากมายมาเพื่อที่จะมาดูการเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ยังมีทั้งเด็กทารกที่เข้าร่วมงานครั้งนี้

พิธีในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง แต่ละเมืองต่าง ๆ ใน มลฑลจุ้น แต่ละเมือง แต่ละหมู่บ้านจะต้องนำของมาบูชา

“ฮ่าฮ่า องค์ชายเก้า เจ้าก็อายุสิบหกแล้ว ถึงแม้จะสามารถเข้าร่วมพิธีได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดบันทีกสวรรค์ยุทธ์ได้หรอกนะ มาเพื่อขายขี้หน้าคนอื่นหรอ ? ”

องค์ชายแปดจางจี้ เอามือทั้งสองทาบไว้ข้างหลัง ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ยออกมา

องค์ชายหกที่ยืนอยู่ข้างๆองค์ชายแปด กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า

“ที่เขาบอกว่ามังกรเก้าชีวิต จะต้องมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน ท่านพ่อเป็นถึงวีรบุรุษ แต่กลับให้กำเนิดขยะแบบเจ้า อายุสิบหกแล้ว แต่ไม่เคยเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ ตระกูลหวังต้องขายหน้าก็เพราะเจ้า เจ้ายังอยู่บนโลกนี้ทำไม ? ทำไมไม่ตาย ๆ ไปซะละ ? "

 คำพูดที่พูดออกมา ล้วนแต่มาจากเสียงในใจขององค์ชายทั้งนั้น

ความสัมพันธ์ของคนในตระกูลจักรพรรดิหวังบอบบางเป็นอย่างมาก ดูจากสถานการณ์นี้น่าจะสะท้อนให้เห็นได้มากที่สุด

ในดินแดนคุนหลุน คนที่สามารถเปิดบันทึกได้มีไม่มาก สิบคนมากสุดก็มีแค่หนึ่งคน พูดได้ว่า จอมยุทธ์แต่ละคนนั้นมีพลังที่สูงส่ง

เมื่อพูดถึงจอมยุทธ์แล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จอมยุทธ์ระดับสูงจะมีสายเลือดที่แข็งแกร่ง พอมาถึงรุ่นหลังก็จะถูกสืบทอดมาทำให้ผู้ที่มีเลือดแข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น อันตราการเปิดบันทึกก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

ราชาหยุนอูจุ้นมีลูกชายทั้งหมดเก้าคน ทั้งหมดแปดคนสามารถเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้หมด มีเพียงจางลั่วเฉินคนเดียวที่อายุสิบหกแล้ว ยังคงไม่สามารถเปิดบันทึกได้ ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของราชวงค์

ผู้คนต่างหัวเราะเรียกเขาว่า”พ่อเก่งแต่ลูกไม่เอาไหน"

มีทั้งข่าวลือว่าจางลั่วเฉินไม่ใช่ลูกชายของราชาหยุนอูจุ้น ถึงแม้จะเป็นข่าวลวง แต่ก็ทำให้ผู้คนในตระกูลต่างขายหน้า

ดังนั้น องค์ชายคนอื่น ส่วนมากต่างคิดว่าจางลั่วเฉินเป็นตัวอัปยศของตระกูล เดิมที่ไม่อยากจะนับเขาเป็นน้อง อยากจะให้เขาตายไว ๆ

เมื่อไม่กี่ปีนี้

ราชาหยุนอูจุ้นห่างไกลกับจางลั่วเฉินและหลินเฟยเป็นอย่างมาก เขาได้อยู่กับนางสนม พวกองค์ชายจึงได้กลั่นแกล้งเขา เมื่อคืน จางลั่วเฉินและหลินเฟยถูกขับไล่ออกมาจากห้องโถงให้ย้ายไปอยู่ที่ห้องโถงข้างแทน

จางลั่วเฉินได้แต่ยืนอยู่เงียบๆ ไม่สนใจองค์ชายหกแลองค์ชายแปด

หากไม่มีพลังมากพอ ก็จะตกเป็นขี้ปาก คนอื่นก็จะมองดูถูกและเหยียดหยาม

หลินเฟยยืนอยู่กับพระมเหสีองค์อื่น  เมื่อเห็นจางลั่วเฉินที่ถูกรังแก ในใจของนางเจ็บปวดจนถึงที่สุด แต่ว่านางก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย

“พิธีกรรมเริ่มได้ ! "

คนสนิทของราชาหยุนอูจุ้นยืนอยู่บนแท่นหิน ถือม้วนคัมภีร์ก่อนจะเปิดอ่าน

หลังจากนั้นบนแท่นหิน ก็มีสาวสวยที่มีเสียงสง่างามนางสวมชุดหลากสี มีเครื่องดนตรีต่าง ๆ มากมายนับสิบหกชนิด

จากนั้น เลือดสัตว์ที่วังเวยเริ่มไหลรินออกมาเพื่อเฉลิมฉลองวันบูชา

“ว้าวว~”

เลือดเข้มข้ม กลายมาเป็นเส้นแสงเส้นใหญ่ ทำลายชั้นเมฆ พุ่งไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

ทันในนั้น ได้มีดวงดาว หล่นลงบนคิ้วของเด็กอายุหกปี ก่อนจะรวมเข้าไปในร่าง เป็นสัญลักษ์สีแดง “บันทึกสวรรค์ยุทธ์"

เสียงกลุ่มคน โห่ร้องออกมา

“ลูกชายคนสุดท้องของเซวียตูท่ง แค่หกปีก็สามารถเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้แล้ว ! "

“ตราสัญลักษณ์สีแดง เท่ากับบันทึกสวรรค์ยุทธ์ระดับสี่ อัจฉริยะจริง ในอนาคตจะต้องมีพลังไร้ขีดจำกัดแน่ ! "

บันทึกยุทธ์สวรรค์มีทั้งหมดเก้าระดับ ตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า

บันทึกยุทธ์สวรรค์ระดับหนึ่งจะอ่อนแอมีพลังน้อย บันทึกสวรรค์ระดับเก้าจะแข็งแกร่งและมีพลังเยอะ

ผู้คนต่างมองดูด้วยสายตาอิจฉา จับจ้องไปที่เด็กน้อยอายุหกปี

อายุหกปีก็สามารถเปิดบันทึกสวรรค์ระดับสี่ได้ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ ในภายภาคหน้าจะต้องแข็งแกร่งแน่

ท่ามกลางสายตาจอมยุทธ์ มีผู้ชายร่างกำยำห้าวหาญทุบอกตัวเอง พลางหัวเราออกมาอย่างตื่นเต้น

“ยอดเยี่ยม!สมแล้วที่เป็นลูกชายจองข้า คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง พวกท่านทุกคนต้องมาเข้าร่วมนะ ฮ่าฮ่า"

“ว้าว ! "

บทท้องฟ้า มีดวงดาวหลายดวยล่วงลงมาที่คิ้วของเด็กสาวคนหนึ่ง ปรากฏ สัญลักษณ์สวรรค์ยุทธ์

แต่ในนั้น เป็นบันทึกสวรรค์ยุทธ์ระดับหนึ่งค่อนข้างมาก ระดับสองนั้นก็น้อยมาก คนที่เก่งที่สุดก็คือเด็กหกปีคนนั้น ที่ได้ถึงระดับสี่ ทำให้ผู้คนต่างจับตามอง

คนที่มาเปิดบันทึกได้ มีน้อยมาก มีเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นของคนทั้งหมด ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการได้รับการยอมรับจากเทพสวรรค์ เมื่อเปิดประตูสู่วิถียุทธ์

มีชายหนุ่มหญิงสาวบางคนที่ไม่สามารถบันทึกได้พวกเขาพูดไม่ออก พวกเขาเสียใจมาก บ้างก็ร้องไห้โฮออกมา

สายตามองไปที่พิธีกรรมที่ใกล้จะจบลงแต่บันทึกสวรรค์ยุทธ์ของเขาก็ยังไม่เปิดออก

อายุสิบหกปีแต่บันทึกกลับไม่เคยถูกเปิดออก ซึ่งแทบจะไม่มีทางที่จะเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้ ในภายหลังก็เป็นได้เพียงคนธรรมดาสมัญเท่านั้น

ผู้คนต่างไม่สนใจเขา เหมือนกับดวงดาวดวงสุดท้าย ที่ไม่มีใครใส่ใจ

หลินเฟยก็เริ่มขอพรภาวนา หวังว่าจะเกิดปฏิหารย์กับลูกชายของเขา การเปิดสัญลักษณ์ ถึงแม้จะไม่สามารถเป็นจอมยุทธ์ได้ อย่างน้อยแค่มันก็ช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นก็ดียิ่ง

ในขณะที่พิธีกรรมกำลังจะสิ้นสุด ความหวังของหลินเฟย กลายเป็นความผิดหวังอีกครั้ง

เมื่อจางลั่วเฉินคิดว่าตนไม่มีทางที่จะเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้ แร่หินอัณญมณีขาวก็ส่องแสงขึ้นเล็กน้อย

ก่อนที่จะสิ้นสุดพิธีกรรม ดวงดาวดวงสุดท้าย ร่วงลงมาจากฟ้า ตกลงที่คิ้วของจางลั่วเฉิน ปรากฏสัญลักษณ์สวรรค์ยุทธ์สีขาวขึ้น

“ว้าว!”

ความรู้สึกร้อน จากคิ้วลงมาทั่วทั้งร่างกาย

เปิดได้แล้ว!

จางลั่วเฉินตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็เปิดบันทึกได้
เพียงแค่เปิดบันทึกได้ก็พอแล้ว ถึงแม้จะเป็นแค่ระดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่สนใจ   (เดี๋ยวรู้เทพทรูเป็นยังไง)

เดิมทีไม่มีใครสนใจจางลั่วเฉิน แต่ว่า ขณะที่จางลั่วเฉินเปิดบันทึกนั้นกลับดึงดูดทุกสายตาของคนให้มาจับจ้องที่เขา

“นั่นต้องไม่ใช่องค์ชายเก้า เขาอายุสิบหกแล้ว อีกทั้งร่างยังอ่อนแอ จะเปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้ไงกัน ! "

ผู้คนส่วนมากต่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง พวกเขามองไปที่จางลั่วเฉิน ด้วยความไม่เข้าใจ ?

องค์ชายหกและองค์ชายแปดที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา ต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

หลินเฟยมองไปที่จางลั่วเฉิน เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่คิ้วของเขา น้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาจางลั่วเฉิน และกอดเขาอย่างแนบแน่น

“เฉินเอ๋อ ในที่สุดเจ้าก็ทำได้แล้ว! ทำได้แล้ว!"

ขันทีคนหนึ่งยืนข้างราชาหยุนอูจุ้น เดินมาด้านหน้าเขาพลางยิ้มและกล่าวว่า

“ขอแสดงความยินดีกับพระมเหสีหลินเฟย ในที่สุดองค์ชายเก้าก็เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์ได้สำเร็จ!ราชินีต้องการให้เชิญองค์ชายเก้าไปเข้าเฝ้า นางอยากจะดูระดับบันทึกขององค์ชายเก้า!"

“ราชินี!”

สีหน้าของหลินเฟยพลันแข็งทื่อ นางรีบเอาจางลั่วเฉินไปแอบไว้ด้านหลัง
“ท่านแม่ พวกเราไปพบราชีนีกันเถอะ!"

เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเฟย เขาคิดในใจว่า ดูเหมือนราชินีจะไม่ใช่คนดีซักเท่าไหร่ จะต้องระวังให้มาก